Ep.54 - "กินเหล้า = ชั่ว ?"
.
เอาจริง ๆ นะ สงสัยเหมือนกัน
ทำไมถึงแบบ ตั้งคำถามกับ
เรื่องของการกินเหล้ากันนักหนา?
.
ถามจริง ๆ คนกินเหล้า หรือ คนโกหก
อะไรเยอะกว่ากัน?
คนโกหก!
.
เหล้าต้องใช้อุปกรณ์!
เหล้าต้องมีองค์ประกอบ
เหล้าต้องใช้ความพยายาม
แต่โกหก มันไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร
.
จริง ๆ อยากให้มอง เห็นภาพแบบนี้
อย่าใช้เหล้า อย่าใช้อะไร มาเป็นตัวโจมตี
ว่าคน ๆ นั้นเลวคน ๆ นั้นดี
.
พระพุทธเจ้าให้หลักไว้แล้วชัดเจน
“สุราเมรย มชฺช ปมาทฏฺฐานา”
‘กินเหล้าอันเป็นฐานของความประมาท’
นี่มึงต้องตั้งใจกิน เพื่อจะเมาหัวทิ่มหัวตำ
อันนี้ถึงว่า มันบาปแน่ ๆ
.
ต้องตั้งใจกินเพื่อที่จะแบบว่า
“เฮ้ย...วันนี้เมาให้เต็มที่”
เพราะอะไร? พระพุทธเจ้าไม่อยากให้คนขาดสติ
มงคลชีวิตข้อที่ 18, 19, 20
แถว ๆ นี้
.
ชัดเจนเลย
“อารตี วิรตี ปาปา”
อารตี คือ งด วีรตี คือ เว้น ปาปา คือ บาปทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าบอกว่า
‘บาปทั้งหลาย’
อย่าทำ
.
บาป คืออะไร? บาป คือ การเบียดเบียน
ข้อต่อมา
“มชฺชปานา จ สญฺญโม”
คือ ‘สำรวมระวังจากการกินเหล้า’
.
ต้องบอกก่อน พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้กินเหล้า
แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องกิน เพราะท่านรู้ว่าเหล้า
ไม่ได้เป็นโทษอย่างเดียว เหล้ามีส่วนที่เป็นประโยชน์ด้วย
.
ใช้ล้างแผลได้ ใช้ทำปฏิกิริยาบางอย่าง
ในอาหารได้ เขาถึงมีไก่แช่ไวน์ ไก่แช่เหล้า
แล้วถามว่าสิ่งเหล่านั้น
กินแล้วเมามั้ย?
.
เอ้อ!
มันต้องย้อนกลับมาไงว่า
“สุราเมรย มชฺช ปมาทฏฺฐานา”
กินของพวกนี้
‘เจตนา’
เพื่อละทิ้งสติ เอาความประมาทล้วน ๆ เลย
อย่างนี้มึงบาป 100%
.
มันอยู่ที่เจตนาอย่างเดียว
ถามว่ากินแอลกอฮอล์ 0%
บาปมั้ย?
ไม่รู้หรอกบาปไม่บาป แต่เจตนายังไงล่ะ?
กินเพื่อความสนุกสนานรึเปล่า?
.
เคยเมาดิบมั้ย
เมาดิบมันเมากันได้นะเว่ย
อยู่ดี ๆ ก็ขาดสติมันงั้น ๆ
ทั้งที่แบบว่า ไอ้เ-ี้ยกูก็ไม่ได้เมาอะไร
แต่กูก็ขาดสติได้ ไม่เคยเหรอ
กูก็เคย!
.
พระพุทธเจ้าชัดเจนว่า “สำรวม ระวัง”
คือถ้าบอกว่ากินได้
เดี๋ยวก็จะมีคนเอาตรงนี้ไปอ้างอิง
จริง ๆ ก็ไม่ควรกิน
.
แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องกิน
ต้องสำรวมระวัง
เอาเรื่องสติสัมปชัญญะเป็นที่ตั้ง
คือถ้ากินแล้วปุ๊บ กูเสียสติแน่นอน
.
คือกินแล้วมีโทษ ท่านให้สำรวมระวัง
ถ้าเว้นไม่กินเลย ก็ไม่ต้องระวังไง
ไอ้คำว่าระวัง มันคือยังไง
ระวัง มันต้องมีสติ แต่ถ้าเว้นเลยเนี่ย
มึงไม่ต้องใช้ความระวัง
ไม่ต้องมาใช้พลังงาน
.
กับเรื่องระวังว่า
“เอ๊ะ….”
“แค่นี้พอมั้ย?”
“แค่นี้เมามั้ย?”
“แค่นี้บาปมั้ย?”
“แค่นี้จะเป็นอะไรยังไง?”
“ถูกปะ?”
“มชฺชปานา”
มัชชะ ไม่ได้แปลว่าเหล้าอย่างเดียว
ยาเสพติดให้โทษ ทุกสิ่งทุกอย่าง
.
ปานา แปลว่า เสพเข้าไป
ถ้าให้ความหมายในปัจจุบัน
มชฺชปานา ก็คือ ยาเสพติดให้โทษ ทุกประเภท
.
พระพุทธเจ้าทรงรู้ไงว่า แอลกอฮอล์มันเป็นยาได้
แต่ว่า โบราณเขาเรียกกันว่า
เป็นยากระสายเหล้า แปลว่าผสมด้วย
เป็นกระสาย เป็นแค่ส่วนผสม
ไม่ใช่แก่นสาระสำคัญ
.
คือคนมองเข้ามาปุ๊บ เห็นเรากระดก
ยาหรือเหล้าล่ะ?
เขาเห็นเรากินสปาเก็ตตี้ ไก่ซอสไวน์
วิญญูชนพึงรู้ได้รึเปล่า?
ว่านั่นอาหาร หรือนั่นเหล้า
.
ถ้าเขาเห็นมองมาปุ๊บ
“อ้าวอาหาร”
แต่มัน ส่วนผสมมันมาจากเหล้า
กูถามหน่อย กินไก่หมักไวน์ตรงนั้นน่ะ
มึงเมามั้ย?
คนมองเข้ามาก็รู้อยู่แล้ว
“อันนี้อาหาร”
“นี่ไม่ใช่เหล้า”
.
เหมือนกัน คนมองเข้ามา เรากระดกยา
แม้ยาผสมเหล้า แต่คนมองเข้ามา
วิญญูชนพึงรู้ได้ว่า
“นี่ยา”
“ไม่ใช่เหล้า”
.
แต่ถ้ากลับกัน เนี่ยเหล้า แล้วเหล้าเนี่ย
โอ้โห..
มีตัวยา มีเป็นยาดงยาดอง
ดองงูเห่า งูเหลือม -่าอะไรไม่รู้
อันนี้เหล้ากระสายยา
ไม่ใช่ยากระสายเหล้า
ไม่เหมือนกันนะ
.
แล้วบางคนบอกว่า ถ้าเกิดว่าทำอาหารเนี่ย
แล้วทำอาหารมันต้องผสมเหล้า
เรารู้อยู่แล้ว ในเมื่ออาหารมันมีส่วนผสมของเหล้า
ทำอาหารไป เอาเหล้าแยกไว้ต่างหาก
.
แล้วพออาหารเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ
เอาเหล้ามากินควบด้วย อย่างนี้ถือว่า
กินอาหารกระสายเหล้ามั้ย
เพราะว่า อาหารนั้นต้องมีเหล้าไง
อย่างนี้มันไม่ใช่ อย่างนี้มันกับแกล้มแล้ว
มันคือกินเหล้า กับกับแกล้มแล้ว
ไอ้-่า
.
เมามันลืมทุกข์ได้ที่ไหน
มันกลบทุกข์
กินเหล้าแล้วมันจะได้หายทุกข์
ไม่มีหายทุกข์ครับ
.
ถ้ากินเหล้าเพื่อจัดการความทุกข์
กินเหล้าเพื่อให้พ้นทุกข์นี่
บอกได้เลย เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง
เป็นคนไม่รับผิดชอบ
.
ทุกข์อยู่ตรงไหน มึงต้องไปแก้ตรงนั้นสิ
ไม่ใช่ทุกข์อยู่ตรงไหนปุ๊บ มึงกลบทุกข์
มึงหนีทุกข์ไปชั่วคราว
ถ้าเกิดพลั้งพลาด ตายไปตอนไม่มีสติ
มึงทำไง?
.
ถ้าเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้านี่
จิตวิญญาณมึงไม่มีความสุขเลย
มึงไปสู่ทุกข์คติภูมิอย่างเดียวเลย
ต้องพูดอย่างนี้ว่า
.
เรื่องของเหล้า เรื่องของอะไรพวกนี้
คนมาถามเยอะมาก อยากจะถามย้อนกลับไปว่า
ที่มึงถามเรื่องกินเหล้าได้ กินเหล้าไม่ได้
อย่างนี้ผิดมั้ย
อย่างนี้บาปมั้ยเนี่ย
.
มึงถามเพื่อให้มึงเป็น คนที่ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น
ให้เข้าใกล้ธรรมะได้มากขึ้น ดีมากขึ้น
หรือมึงถาม
เพื่อที่จะให้เลี่ยงได้มากขึ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าเลี่ยงบาลีไง
นึกออกปะ?
เออ…
………………………………………..
เคยได้ยินมั้ยล่ะ “ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
นี่กูพูดบ่อยมากเลยนะคำนี้
พระพุทธเจ้าบอกว่า
“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”
“เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม”
รู้มั้ยล่ะ ว่าน้ำใส ๆ นี่มันเหล้า
หรือว่ามันน้ำอะ?
ถ้ามึงยกมาปุ๊บเนี่ย ได้กลิ่นปุ๊บ
“เอ๊ะ…”
“กลิ่นคล้าย ๆ เหล้า”
“เหล้ารึเปล่าไม่รู้”
“แต่สีมันน้ำเปล่าแน่นอน”
กระดก
…
มึง…
โกหกตัวเอง!
ไอ้เ-ี้ย
มึงโกหกตัวเอง!
บ้าบอ
.
#ผู้กองเบนซ์
ปล. เมามันลืมทุกข์ได้ที่ไหน มันกลบทุกข์
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
*ติดต่องานวิทยากร,อบรมสัมมนา,สนับสนุนช่อง โทร 094-449-9464 (คุณจี้)
ช่องยูทูป : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
blockdit : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
IG : capt.benz
Line OA : @ captbenz
twitter : @ captbenz
ชั่ว แปลว่า 在 Capt.Benz Facebook 的最讚貼文
Ep.54 - "กินเหล้า = ชั่ว ?"
.
เอาจริง ๆ นะ สงสัยเหมือนกัน
ทำไมถึงแบบ ตั้งคำถามกับ
เรื่องของการกินเหล้ากันนักหนา?
.
ถามจริง ๆ คนกินเหล้า หรือ คนโกหก
อะไรเยอะกว่ากัน?
คนโกหก!
.
เหล้าต้องใช้อุปกรณ์!
เหล้าต้องมีองค์ประกอบ
เหล้าต้องใช้ความพยายาม
แต่โกหก มันไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร
.
จริง ๆ อยากให้มอง เห็นภาพแบบนี้
อย่าใช้เหล้า อย่าใช้อะไร มาเป็นตัวโจมตี
ว่าคน ๆ นั้นเลวคน ๆ นั้นดี
.
พระพุทธเจ้าให้หลักไว้แล้วชัดเจน
“สุราเมรย มชฺช ปมาทฏฺฐานา”
‘กินเหล้าอันเป็นฐานของความประมาท’
นี่มึงต้องตั้งใจกิน เพื่อจะเมาหัวทิ่มหัวตำ
อันนี้ถึงว่า มันบาปแน่ ๆ
.
ต้องตั้งใจกินเพื่อที่จะแบบว่า
“เฮ้ย...วันนี้เมาให้เต็มที่”
เพราะอะไร? พระพุทธเจ้าไม่อยากให้คนขาดสติ
มงคลชีวิตข้อที่ 18, 19, 20
แถว ๆ นี้
.
ชัดเจนเลย
“อารตี วิรตี ปาปา”
อารตี คือ งด วีรตี คือ เว้น ปาปา คือ บาปทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าบอกว่า
‘บาปทั้งหลาย’
อย่าทำ
.
บาป คืออะไร? บาป คือ การเบียดเบียน
ข้อต่อมา
“มชฺชปานา จ สญฺญโม”
คือ ‘สำรวมระวังจากการกินเหล้า’
.
ต้องบอกก่อน พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้กินเหล้า
แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องกิน เพราะท่านรู้ว่าเหล้า
ไม่ได้เป็นโทษอย่างเดียว เหล้ามีส่วนที่เป็นประโยชน์ด้วย
.
ใช้ล้างแผลได้ ใช้ทำปฏิกิริยาบางอย่าง
ในอาหารได้ เขาถึงมีไก่แช่ไวน์ ไก่แช่เหล้า
แล้วถามว่าสิ่งเหล่านั้น
กินแล้วเมามั้ย?
.
เอ้อ!
มันต้องย้อนกลับมาไงว่า
“สุราเมรย มชฺช ปมาทฏฺฐานา”
กินของพวกนี้
‘เจตนา’
เพื่อละทิ้งสติ เอาความประมาทล้วน ๆ เลย
อย่างนี้มึงบาป 100%
.
มันอยู่ที่เจตนาอย่างเดียว
ถามว่ากินแอลกอฮอล์ 0%
บาปมั้ย?
ไม่รู้หรอกบาปไม่บาป แต่เจตนายังไงล่ะ?
กินเพื่อความสนุกสนานรึเปล่า?
.
เคยเมาดิบมั้ย
เมาดิบมันเมากันได้นะเว่ย
อยู่ดี ๆ ก็ขาดสติมันงั้น ๆ
ทั้งที่แบบว่า ไอ้เ-ี้ยกูก็ไม่ได้เมาอะไร
แต่กูก็ขาดสติได้ ไม่เคยเหรอ
กูก็เคย!
.
พระพุทธเจ้าชัดเจนว่า “สำรวม ระวัง”
คือถ้าบอกว่ากินได้
เดี๋ยวก็จะมีคนเอาตรงนี้ไปอ้างอิง
จริง ๆ ก็ไม่ควรกิน
.
แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องกิน
ต้องสำรวมระวัง
เอาเรื่องสติสัมปชัญญะเป็นที่ตั้ง
คือถ้ากินแล้วปุ๊บ กูเสียสติแน่นอน
.
คือกินแล้วมีโทษ ท่านให้สำรวมระวัง
ถ้าเว้นไม่กินเลย ก็ไม่ต้องระวังไง
ไอ้คำว่าระวัง มันคือยังไง
ระวัง มันต้องมีสติ แต่ถ้าเว้นเลยเนี่ย
มึงไม่ต้องใช้ความระวัง
ไม่ต้องมาใช้พลังงาน
.
กับเรื่องระวังว่า
“เอ๊ะ….”
“แค่นี้พอมั้ย?”
“แค่นี้เมามั้ย?”
“แค่นี้บาปมั้ย?”
“แค่นี้จะเป็นอะไรยังไง?”
“ถูกปะ?”
“มชฺชปานา”
มัชชะ ไม่ได้แปลว่าเหล้าอย่างเดียว
ยาเสพติดให้โทษ ทุกสิ่งทุกอย่าง
.
ปานา แปลว่า เสพเข้าไป
ถ้าให้ความหมายในปัจจุบัน
มชฺชปานา ก็คือ ยาเสพติดให้โทษ ทุกประเภท
.
พระพุทธเจ้าทรงรู้ไงว่า แอลกอฮอล์มันเป็นยาได้
แต่ว่า โบราณเขาเรียกกันว่า
เป็นยากระสายเหล้า แปลว่าผสมด้วย
เป็นกระสาย เป็นแค่ส่วนผสม
ไม่ใช่แก่นสาระสำคัญ
.
คือคนมองเข้ามาปุ๊บ เห็นเรากระดก
ยาหรือเหล้าล่ะ?
เขาเห็นเรากินสปาเก็ตตี้ ไก่ซอสไวน์
วิญญูชนพึงรู้ได้รึเปล่า?
ว่านั่นอาหาร หรือนั่นเหล้า
.
ถ้าเขาเห็นมองมาปุ๊บ
“อ้าวอาหาร”
แต่มัน ส่วนผสมมันมาจากเหล้า
กูถามหน่อย กินไก่หมักไวน์ตรงนั้นน่ะ
มึงเมามั้ย?
คนมองเข้ามาก็รู้อยู่แล้ว
“อันนี้อาหาร”
“นี่ไม่ใช่เหล้า”
.
เหมือนกัน คนมองเข้ามา เรากระดกยา
แม้ยาผสมเหล้า แต่คนมองเข้ามา
วิญญูชนพึงรู้ได้ว่า
“นี่ยา”
“ไม่ใช่เหล้า”
.
แต่ถ้ากลับกัน เนี่ยเหล้า แล้วเหล้าเนี่ย
โอ้โห..
มีตัวยา มีเป็นยาดงยาดอง
ดองงูเห่า งูเหลือม -่าอะไรไม่รู้
อันนี้เหล้ากระสายยา
ไม่ใช่ยากระสายเหล้า
ไม่เหมือนกันนะ
.
แล้วบางคนบอกว่า ถ้าเกิดว่าทำอาหารเนี่ย
แล้วทำอาหารมันต้องผสมเหล้า
เรารู้อยู่แล้ว ในเมื่ออาหารมันมีส่วนผสมของเหล้า
ทำอาหารไป เอาเหล้าแยกไว้ต่างหาก
.
แล้วพออาหารเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ
เอาเหล้ามากินควบด้วย อย่างนี้ถือว่า
กินอาหารกระสายเหล้ามั้ย
เพราะว่า อาหารนั้นต้องมีเหล้าไง
อย่างนี้มันไม่ใช่ อย่างนี้มันกับแกล้มแล้ว
มันคือกินเหล้า กับกับแกล้มแล้ว
ไอ้-่า
.
เมามันลืมทุกข์ได้ที่ไหน
มันกลบทุกข์
กินเหล้าแล้วมันจะได้หายทุกข์
ไม่มีหายทุกข์ครับ
.
ถ้ากินเหล้าเพื่อจัดการความทุกข์
กินเหล้าเพื่อให้พ้นทุกข์นี่
บอกได้เลย เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง
เป็นคนไม่รับผิดชอบ
.
ทุกข์อยู่ตรงไหน มึงต้องไปแก้ตรงนั้นสิ
ไม่ใช่ทุกข์อยู่ตรงไหนปุ๊บ มึงกลบทุกข์
มึงหนีทุกข์ไปชั่วคราว
ถ้าเกิดพลั้งพลาด ตายไปตอนไม่มีสติ
มึงทำไง?
.
ถ้าเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้านี่
จิตวิญญาณมึงไม่มีความสุขเลย
มึงไปสู่ทุกข์คติภูมิอย่างเดียวเลย
ต้องพูดอย่างนี้ว่า
.
เรื่องของเหล้า เรื่องของอะไรพวกนี้
คนมาถามเยอะมาก อยากจะถามย้อนกลับไปว่า
ที่มึงถามเรื่องกินเหล้าได้ กินเหล้าไม่ได้
อย่างนี้ผิดมั้ย
อย่างนี้บาปมั้ยเนี่ย
.
มึงถามเพื่อให้มึงเป็น คนที่ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น
ให้เข้าใกล้ธรรมะได้มากขึ้น ดีมากขึ้น
หรือมึงถาม
เพื่อที่จะให้เลี่ยงได้มากขึ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าเลี่ยงบาลีไง
นึกออกปะ?
เออ…
………………………………………..
เคยได้ยินมั้ยล่ะ “ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
นี่กูพูดบ่อยมากเลยนะคำนี้
พระพุทธเจ้าบอกว่า
“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”
“เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม”
รู้มั้ยล่ะ ว่าน้ำใส ๆ นี่มันเหล้า
หรือว่ามันน้ำอะ?
ถ้ามึงยกมาปุ๊บเนี่ย ได้กลิ่นปุ๊บ
“เอ๊ะ…”
“กลิ่นคล้าย ๆ เหล้า”
“เหล้ารึเปล่าไม่รู้”
“แต่สีมันน้ำเปล่าแน่นอน”
กระดก
…
มึง…
โกหกตัวเอง!
ไอ้เ-ี้ย
มึงโกหกตัวเอง!
บ้าบอ
.
#ผู้กองเบนซ์
ปล. เมามันลืมทุกข์ได้ที่ไหน มันกลบทุกข์
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
*ติดต่องานวิทยากร,อบรมสัมมนา,สนับสนุนช่อง โทร 094-449-9464 (คุณจี้)
ช่องยูทูป : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
blockdit : ผู้กองเบนซ์ - Capt.Benz
IG : capt.benz
Line OA : @ captbenz
twitter : @ captbenz
ชั่ว แปลว่า 在 Roundfinger Facebook 的精選貼文
ที่มาของพระตรีมูรติ ยักษ์ นาค กินรี ฯลฯ
#ฝากกดไลก์ติดตามเพจนี้กันสักนิดนะครับ
#จะนำหนังสือน่าอ่านมาเล่าสู่กันฟังเนืองๆครับ :)
เทวตำนานในอริยวิถี
เอกชัย สถาพรธนพัฒน์: เขียน
สนพ.วิภาษา
---
นี่คือหนึ่งในหนังสือที่อ่านแล้วเพลิดเพลินที่สุดในรอบปีนี้ หนังสือเชื่อมโยงเทวตำนาน งานศิลป์ วรรณกรรม วรรณคดี เกร็ดพุทธประวัติ ภูมิปัญญาตะวันออก ผีสางเทวดา ฯลฯ เข้าด้วยกันชวนให้หฤหรรษ์อย่างยิ่ง
อ่านแล้วจะเห็นการใช้เทวตำนานหรือเทพปกรณัมในการทำความเข้าใจเบื้องลึกในใจมนุษย์ ได้เห็นว่าเรื่องราวเหนือจริงเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์หรืออุปกรณ์ในการสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในใจคน
โครงเรื่องของเทวตำนานมักเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 'ดี' กับ 'ชั่ว' อันเป็นทวิภาวะ ซึ่งผสมผเสอยู่ในใจคนทุกคน จิตหนึ่งดวงจึงต้องตื่นรู้ผ่านอุปสรรคต่างๆ เพื่อบรรลุสู่ศานติ เมื่อเห็นมิตินี้ย่อมอ่านเทวตำนานในมุมใหม่ แทนที่จะคิดว่าเป็นจินตนาการไร้เหตุผล กลับกลายเป็นเรื่องราวเพื่อทบทวนสภาวะจิตใจตนเอง
...
หนังสือบอกเล่ารากที่มาของหลายสิ่งในวัฒนธรรมไทยซึ่งสืบต่อมาจากอินเดีย เช่น
+ คำว่า 'ภิกขุ' แปลว่า 'ผู้ขอ' เป็นรากศัพท์ของคำว่า Beggar หรือ 'ขอทาน' ซึ่งนับแต่สมัยก่อนพุทธกาลก็มีเหล่ากษัตริย์และชนชั้นสูงที่เบื่อหน่ายลาภยศแล้วออกบวชเป็นฤาษีมุนีเพื่อแสวงหาโมกษะกันอยู่แล้ว กิจที่พวกท่านทำคือภิกขาจาร หรือขอข้าวจากชางบ้าน เพื่อมุ่งหมายทำลายอัตตาตัวตน
+ จักร เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รูปจักรจึงถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประกาศพระธรรมคำสอนเพื่อหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ ที่มาของจักรมาจากอานุภาพแห่งกงล้อขอรถม้าศึกที่ชาวอารยันรุกไล่ยึดครองที่ทำกินของชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำสินธุ จนก่อเกิดวัฒนธรรมพระเวท และระบบวรรณะขึ้นในชมพูทวีป
มาถึงตรงนี้ก็ขอเล่าเรื่องนี้จากเล่มนี้ต่อเลยแล้วกัน
...
ชมพูทวีปแต่เดิมเป็นที่อยู่ของชนเผ่าหลากหลาย ที่โดดเด่นคือชาวดราวิเดียน (ทราวิฑ) ซึ่งอพยพจากอิหร่านเข้ามาอินเดียช่วง 7,000 ปีก่อนพุทธกาล (9,000 กว่าปีนู้น)
ชาวทราวิฑชำนาญเรื่องเกษตรกรรม เป็นผู้ก่อรากฐานอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ นครฮารัปปา นครโมเฮนโจดาโร อันรุ่งเรืองก็ฝีมือของพวกเขา
ช่วง 3,000 ปีก่อนพุทธกาล ชาวอริยกะ (อารยัน) ชนเผ่าเร่ร่อนเชื้อสายอินโด-ยูโรเปียนซึ่งชำนาญการรบ ก็บุกเข้ามาด้วยธนูและรถศึก (ม้า+ล้อหมุน) ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำยุคกว่าเจ้าถิ่น ก็ค่อยๆ รุกคืบแย่งชิงที่ทำกินเหนือชาวทราวิฑ
ชาวอารยันเหมาเรียกคนพื้นเมืองว่า 'มิลักขุ' มีความหมายเชิงกดข่มว่า 'พวกคนเศร้าหมอง ผิวดำ อัปลักษณ์ และป่าเถื่อน' ฝั่งอารยันนั้นผิวขาว สูง จมูกโด่ง ตาฟ้า ผมทอง
ชาวทราวิฑส่วนหนึ่งไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจ บ้างต่อสู้ บ้างย้ายถิ่นถอยไปทางใต้กลายเป็นต้นกำเนิดของชาวทมิฬ สิงหล และลังกา
พวกที่ยอมแพ้ก็กลายเป็นทาส ก่อเกิดระบบทาสและวรรณะ เกิดศัพท์เหยียดหยามที่ใช้เรียกชนพื้นเมือง เช่น คนธรรพ์ กินนร อัปสร ยักษ์ กุมภัณฑ์ นาค จำพวกนี้ขึ้น (เริ่มสนุกแล้วสิ)
...
อัปสรและคนธรรพ์ จึงไม่ได้มีแค่ในวรรณคดีเท่านั้น แต่เป็นคำเรียกเชิงหมิ่นหยามว่าเป็นพวกคนป่าดงดอยที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ชำนาญเรื่องร้องรำทำเพลง แต่่ด้อยอารยธรรม (ที่ด้อยกว่าคือการรบน่ะนะ) ชาวอารยันจึงทำมาบำเรอเรื่องระบำรำฟ้อนและกามารมณ์
กินนร กินรี เป็นคนธรรพ์พวกหนึ่ง ในวรรณคดีไทยคืออมนุษย์ (ครึ่งคน-ครึ่งนก) แต่ในวรรณกรรมอินเดียบอกว่า หัวเป็นม้าตัวเป็นคน ตามรากศัพท์ 'กิ' หรือ 'กิง' แปลว่า 'อะไร' ส่วน 'นร' (นอ-ระ) แปลว่า 'คน' รวมแล้วเป็น 'คนอัลไล' ก็เหยียดหยามเหมือนกัน ใช้เรียกคนที่มีสันดานชั่วร้าย
ยักษ์ รากษส ใช้เรียกทราวิฑที่ไม่ยอมแพ้ชาวอารยันง่ายๆ ต่อต้าน ทำลายทรัพย์สิน แย่งชิงเสบียง ดุร้ายป่าเถื่อน ภาพลักษณ์ของยักษ์ในวรรณคดีจึงจับคนไปกิน ส่วนกุมภัณฑ์คือพวกเคยต่อต้านแล้วกลับใจมายอมแพ้ ในวรรณคดีจึงเป็นยักษ์ที่คอยรับใช้เทพเจ้า
นาค ใช้เรียกชาวพื้นเมืองที่ดุร้ายป่าเถื่อน (อันนี้เขียนเล่าได้อีกหนึ่งโพสต์ยาวๆ) เดิมคำนี้ออกเสียงว่า 'น็อก' หรือ ng เป็นรากศัพท์ของคำว่า Naked หรือเปลือย เพราะชนพื้นเมืองไม่รู้จักสวมเสื้อผ้า อยู่ลึกลับตามป่าเขา ซุ่มทำร้าย จึงใช้ภาพงูเป็นตัวแทนสัตว์มีพิษที่ซ่อนตัวในที่ลับ นาคในวรรณกรรมอินเดียจะเป็นพญางูซึ่งมีพิษร้าย แต่ยอมสยบเป็นบริวารแก่มหาเทพ
นี่คือการใช้ศัพท์เพื่อปกครอง ใช้วรรณกรรมเพื่อแสดงอำนาจระหว่างผู้มาใหม่ที่มายึดพื้นที่ของชนดั้งเดิม
อ่านถึงตรงนี้ก็จะเริ่มรู้สึกว่า ต้องอ่านรามเกียรติ์สนุกขึ้นอีกเยอะเลย
...
ชาวทราวิฑมีพื้นฐานเป็นสังคมเกษตรกรรม เทพเจ้าของพวกเขาจึงเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เทวะบนฟ้า เทวะในอากาศ เทวะบนผืนดิน
พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระวรุณ (ฝน) พระอัคนี พระแม่ธรณี พระคงคา เหล่านี้คือเทพเจ้าของชาวทราวิฑ ผูกพันกับการเกษตรและการมีชีวิตรอด มักเปรียบเทียบธรรมชาติเป็นแม่ วิธีบูชาคือนอบน้อมกตัญญู
ฝ่ายอารยันนับถือพระเทพบิดร คือ อินทรา (พระอินทร์) ซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามผู้มีชัยต่อการปกป้องและช่วงชิงดินแดนจากศัตรู วิธีบูชาคือบวงสรวงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ฝ่ายหนึ่งคือ 'ผู้ให้' อีกฝ่ายคือ 'ผู้แย่งชิง' พอผสมกันก็จะเป็นความเชื่อที่ออกมาในรูป 'ศักติเทวะ' คือพลังชั้วบวกและขั้วลบ เป็นทวิภาวะที่แตกต่างกัน เหล่าทวยเทพจึงมีพระชายาอยู่เคียงข้างตั้งแต่นั้นมา
นี่คือการผสานสองเทพจากสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันโดยไม่ทิ้งเทพของชนพื้นเมืองเดิม
...
พระอินทร์ผู้เคยมีฐานะเป็นเอกเทวะ (ใหญ่สุดผู้เดียว) กลับกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มไตรเทวะ อันประกอบด้วยพระอัคนี พระสุริยเทพ และพระอินทร์ ในเวลาต่อมาจึงถูกแทนที่ด้วย 'ตรีมูรติ' คือพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพในคติทางพระเวทยุคใหม่ที่เราคุ้นเคยกัน
ตรีมูรติ คือสัจธรรมทางพลังอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ประกอบด้วยผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย ซึ่งก็คือธรรมชาติแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ฉะนี้แล
...
สนุกมากครับ ขอแนะนำสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับรากวัฒนธรรมบ้านเราที่สืบเนื่องมาจากอินเดีย และวัฒนธรรมพราหมณ์-พุทธ
อ่านแล้วจะได้เห็นเรื่องราวรอบตัวในแง่มุมใหม่ (ซึ่งเป็นมุมดั้งเดิม) สิ่งที่เคยคิดว่างมงายไร้สาระกลับกลายเป็นสิ่งสอนใจหรือเตือนให้สังเกตใจตนเองได้อย่างดี
อ่านเป็นหนังสือวิชาการก็ได้ เป็นหนังสือธรรมะก็ดี
ไม่ว่าเทพหรือมาร สุดท้ายแล้วก็รบกันอยู่ในใจเรานี้แล
#นิ้วกลมอ่าน
#ว่างๆจะหยิบเล่มนี้มาเล่าอีกครับ