“School Phobia” “School Refusal” หรือ “ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน”
ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาแชร์เรื่องนี้และไม่เคยรู้ว่ามันมีภาวะอาการแบบนี้ด้วย จนกระทั่งมีลูกเนี่ยละค่ะ
ตอนนี้หลายๆโรงเรียนก็เปิดเทอมแบบเต็มตัว น้องๆบางคนก็มีเข้าโรงเรียนในชั้นเตรียมอนุบาลและชั้นอนุบาล1กันบ้างแล้ว รวมไปถึงน้องนาฬิกาเองก็ได้เข้าเรียนในชั้นเตรียมอนุบาลเหมือนกัน
วันนี้หม่าม้าจะมาแชร์ Timeline ให้อ่านกัน
วันที่1: โรงเรียนคืออาณาจักรใหม่ที่มีเพื่อนวิ่งเล่น มีลูกโป่ง บับเบิ้ลฟุ้งทั่วห้องเรียน ..... นี่คือสิ่งที่ลูกคิด ตอนพาไปส่งที่โรงเรียนลูกดูตื่นเต้นมาก ท่ามกลางเสียงร้องไห้จากเพื่อนที่มีอยู่รอบตัวแต่น้องนาฬิกาไม่ร้องไห้เลย พาไปแนะนำให้รู้จักคุณครูพร้อมกับส่งมอบให้คุณครู น้องนาฬิกาอยากเข้าห้องเรียนมากทั้งๆที่เพื่อนร้องไห้กันเต็มเลยแต่ตัวเองไม่ร้องไห้เลยสักนิด โบกมือบ๊ายบาย พร้อมกับบอกลูกว่า “เล่นกับเพื่อนนะคะเดี๋ยวหม่าม้าป่าป๊ามารับนะคะ” .... ตอนไปรับก็ได้ยินเสียงร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ปรากฏว่าเป็นเสียงร้องของลูกตัวเอง 55555 เมื่อเช้าเดินเข้าอย่างหงส์ ตอนนี้ร้องไห้หาหม่าม้าเป็นหมาน้อยเลย
วันที่2: พร่ำๆตลอดทางว่าไม่อยากไปโรงเรียน พร้อมกับบอกว่าปวดอึ ปวดท้อง หน้าตาซีดเซียวตลอดทาง (จำทางได้นะคะ เด็กสมัยนี้ฉลาดมากๆเลย) ขอนั่งกับหม่าม้า โอเคก็ให้นั่ง สรุปไม่อึก็เลยจะส่งกลับไปนั่งคาร์ซีท น้องนาฬิกาไม่ยอม ทำท่ายึกยือ แล้วก็ขาอ่อนพับลงพร้อมกับ อ้วกพุ่งออกมา 🤮 ตกใจกันมาก เลอะเทอะเต็มรถ เต็มตัวเลย ตอนนั้นคิดกันว่า ลูกอาหารเป็นพิษแน่เลย วนรถกลับบ้านเพื่อดูอาการ ปรากฏว่าไม่มีไข้ ไม่เป็นไรเลยนอกจากอ้วก
เลยได้ข้อสรุปว่า หรือลูกจะ “เครียด” และกลัวการไปโรงเรียน จึงทำร่างกายมันรวนไปหมด ท้องไส้ปั่นป่วนเลยคิดว่าปวดอึแต่จริงๆคือ คลื่นไส้อยากอ้วก
วันที่3: วันวัดใจเลยวันนี้ คิดกันไว้ว่าถ้าอ้วกคือ เครียด ชัวร์!!! อีก 15 นาทีจะถึงโรงเรียนแล้ว น้องนาฬิกาพูดว่า อ้วกกกก นาฬิกาจะอ้วกกกก แล้วก็พุ่งออกปาก ออกจมูก 😢 สงสารมาก พอเช็ดอะไรเสร็จเรียบร้อย ลูกพูดว่า นาฬิกาอ้วก กลับบ้าน ... เอ๊ะ ใช่แน่ๆ อาการนี้คือ เครียดไม่อยากไปโรงเรียนแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้วนรถกลับนะ ให้ไปอาบน้ำที่โรงเรียน
หลังจากนั้นก็มีร้องไห้ทุกครั้งที่ไปส่งที่โรงเรียน แล้วก็มีอ้วกในรถระหว่างทางไปโรงเรียนอีก 2 ครั้ง แต่ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
ตั้งแต่ลูกอ้วกครั้งแรกก็มีความสงสัยมาตลอดและไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาได้ดังนี้....ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียนสามารถเป็นได้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโตที่รวมไปถึงวัยรุ่นด้วยนะคะ
สาเหตุ:
1.อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีที่โรงเรียน เช่น โดนเพื่อนแกล้ง
2.รู้สึกต้องพรากจากคนรัก ต้องจากกับคนรัก (เด็กเล็ก)
3.รู้สึกเหมือนถูกทิ้ง กลัวไม่มีใครมารับกลับ (เด็กเล็ก)
ลักษณะอาการ:
1:ด้านพฤติกรรม: ต่อต้าน พูดจาหยาบคาย ด่าทอ ทุบตีพ่อแม่หรือคนใกล้ตัว โวยวาย งอแง ไม่ยอมลุกจากเตียง
2:ด้านความคิด: มีความวิตก กังวล กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ คำพูดในเชิงไม่อยากไปโรงเรียน
3.ด้านร่างกาย: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดหัว ถ่ายเหลว (อาการเหล่านี้จะเป็นเฉพาะช่วงเช้าของวันที่ไปโรงเรียนเท่านั้น)
พอได้อ่านและศึกษา มันทำให้คนเป็นแม่อย่างเราต้องมาสังเกตุและทำความเข้าใจกับลูกให้มากขึ้น พยายามปลอบประโลมในสิ่งที่ลูกกลัว ให้กำลังใจและชื่นชมลูกให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ระหว่างทางไปโรงเรียนพยายามพูดคุยหาอะไรทำเพื่อให้ลูกผ่อนคลาย แต่ก็ไม่วายวันนี้ก็ยังอ้วกอีก 😅😅 คงจะอีกสักพักอะเนอะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
ถึงแม้ว่าวันนี้จะยังอ้วกอยู่ แต่ก็พยายามข่มใจตัวเองให้ไม่ร้องไห้ และเดินไปกับคุณครูแต่โดยดี
รอยยิ้มเบ้ๆของหนูในวันนี้ กำลังจะสื่อสารกับหม่าม้าว่า “หนูเก่งแล้วค่ะ”
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
kidznadoo 在 Kidznadoo Facebook 的精選貼文
เพราะเรื่องกินคือเรื่องใหญ่สำหรับบ้านนี้ โภชนาการทางด้านอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหม่าม้า .... คุณแม่หลายท่านมีคำถามกันเข้ามาเยอะเกี่ยวกับการกินของมาดาม หม่าม้าจึงอยากแชร์ให้แม่ๆลองอ่านแล้วประบไปใช้ดู
•ครบ 5 เดือน เริ่มทานอาหารบดโดยทดลองไปทีละอย่าง อย่างละ4-5วัน (NO: ไข่ขาว/ถั่ว/ซีฟู้ด/เครื่องปรุง) ให้นั่งกินที่โต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อย เป็นที่เป็นทาง ไม่เดินป้อน ไม่ให้เล่นของเล่น ไม่ให้ดูโทรศัพท์ในขณะกินข้าวค่ะ
•ช่วงวัย 5-8เดือน ยังเป็นอาหารบดอยู่และเลือกที่จะป้อนอยู่ เพราะอยากให้ลูกได้รับอาหารเต็มๆและต้องการปลูกฝังให้ลูกสามารถกินได้ทุกอย่าง วัย 8 เดือนเริ่มฉายแววการเคี้ยวและชอบเอามือเข้าปากมาก จึงนำวิธีการกินแบบ Finger Food มาให้ลูกได้ลองหยิบ จับ ฝึกเคี้ยวและใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มาดามดูชอบและสนุกกับการกินแบบวิธีนี้มาก)
•ทำไมถึงไม่ให้ลูกทานเองแบบเต็มตัวด้วยวิธี BLW: หม่าม้าเลือกวิธี Combo แบบป้อนสลับกับ Finger Food เพราะเหมาะสมกับวัยของลูก(ไม่อยากจะไปเร่งรัด อยากปล่อยให้เป็นธรรมชาติของลูก) และช่วงก่อน 1 ขวบ ไม่ต้องการให้ลูกทานอาหารที่มีรสชาติหรือปรุงหนักเพราะเด็กวัยนี้ไตยังไม่สามารถทำงานได้ดีมากนัก วิธี BLW(ตามที่หม่าม้าเข้าใจนะคะ) คือการที่ลูกกินอาหารเหมือนๆกับเรา(ถ้าอยู่บ้านก็จะสามารถทำแบบไม่ปรุงรสได้) ซึ่งด้วยความที่บ้านนี้ออกข้างนอกบ่อย วิธีนี้จึงไม่สะดวกเพราะอาหารตามร้านอาหารค่อนข้างปรุงหนัก ไม่ว่าจะชูรส น้ำปลา ซีอิ้ว แฮม(อันนี้โซเดียมหนักเลยค่ะ) ต่อให้บอกว่าให้เด็กกินไม่ปรุงนะคะ ก็ยังจะปรุงสอดแทรกมาอยู่ดี เลยตัดวิธีนี้ออกไปแล้วค่อยให้เริ่มหลัง 1 ขวบค่ะ (บ้านนี้สะดวกวิธีนี้นะคะ) อีกเหตุผลสำหรับหม่าม้าที่ยังไม่ให้กินแบบ BLW เต็มรูปแบบเพราะ จริงอยู่ที่ลูกจะเอนจอยการกิน ได้หยิบและเลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากกินจริงๆ แต่ใจลึกๆหม่าม้าก็แอบกลัวว่าเค้าจะเลือกกิน ในอนาคตจะกินยาก เจออะไรที่ไม่ชอบแล้วจะไม่กิน อะไรประมาณนี้ .... ช่วงวัย 5เดือน-1ขวบ จึงเน้นให้ทานอาหารหลากหลาย ครบ5หมู่ ผัก ผลไม้ นม ครบพร้อม 🥰
•วัย 10 เดือน เริ่มที่จะเคี้ยว อยากกินอาหารผู้ใหญ่แล้ว อยากทำตามและมีท่าทีเลียนแบบผู้ใหญ่ จึงปรับให้เป็นอาหารหยาบ ไปจนถึงข้าวสวยเป็นเม็ดๆ •ครบ 1 ขวบบริบูรณ์ เริ่มปรับวิธีการกินเป็นข้าวสวยและกับข้าว ดื่มนมสต็อคจากหลอด (ฝึกให้เลิกขวดนมค่ะ) ทำทุกวันเดิมๆซ้ำๆ ก่อนนอนก็ไม่ให้กินขวดแล้วหลับนะคะ ให้กินนมจากขวดนมแต่ใส่หลอด ดื่มเสร็จ แปรงฟัน อ่านนิทานนอน .... ทำแบบนี้อยู่ 2 อาทิตย์นิดๆ มาดามก็ปรับตัวได้แล้วก็เลิกขวดนมไปเลย
•ช่วงวัย 1 ขวบ จะเป็นอะไรที่เอาใจยากมากทวีคูณ เพราะเด็กจะอยากทำอะไรด้วยตัวเอง เริ่มเบื่อที่จะถูกป้อน หม่าม้าจึงเปลี่ยนวิธีเป็นให้กินเอง โดยให้ลูกเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ เช่น เวลากินข้าวก็นั่งทานด้วยกัน ให้ลูกได้เห็นว่ากินข้าวต้องใช้ช้อนส้อม เป็นต้น บางมื้อก็เอาส้อมให้ถือแล้วจิ้มนู้นนี่เอง (แรกๆยังป้อนอยู่ โดยให้ลูกถือช้อนส้อมไว้ด้วย อยากตัก อยากเอาเข้าปากเลอะเทอะยังไง ทำไปเลยค่ะ ปล่อยเค้าเรียนรู้ไป แล้วก็ป้อนไปด้วย)
•วัย 1ขวบ1เดือนของมาดามเริ่มเบื่ออาหาร หม่าม้าจึงปล่อยให้ทานเองแบบผู้ใหญ่ จัดหาช้อนส้อมมาให้ลูก มื้อแรกของการกินเองคือ แฮม ข้าวสวย และผัดหน่อไม้ฝรั่ง ลูกตักเข้าปากเอง ใช้ช้อนส้อมเองแบบผิดๆถูกๆไป แอบลุ้นอยู่ทุกคำที่ตักว่าจะเข้าปากไหม แต่มาดามชีอเมซิ่งนะ ครั้งแรกชีใช้ช้อนส้อมเก่งเลยอะ มีบอกๆสอนๆบ้าง แต่ชีทำได้เองและทำได้ดีมากๆ นี่ก็ภูมิใจในตัวลูกมากๆเลยละ
•ตอนนี้มาดามอายุ 1ขวบ5เดือน จะมีอาการเบื่ออาหารบ้าง ทานน้อยบ้าง ไม่อยากกินบ้าง ขี้เกียจตักกินเองติดให้ป้อนบ้าง ชอบคายข้าวบ้าง หลังๆมานี่หม่าม้าจึงเปลี่ยนวิธีใหม่โดยเรียกวิธีนี้ว่า “ไม่ร้ำรี้ร้ำไร” คือปล่อยให้กินเองโดยไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับชี อยากเล่นใช่มะ เล่นไปเลย! อยากตักกินเองใช่มะ ตักเลย!! ไม่ป้อนแล้วจ้า .... กินเท่าไหร่เท่านั้น ไม่อยากกินแล้วก็ไม่ต้องกิน ไม่ฝืน ไม่บังคับ ไม่ต้องไปพูดว่า อ้ำๆๆๆ กินให้หมด .... ตอนนี้วิธีนี้ใช้ได้ผลมาก แต่ไม่รู้ว่าผ่านไปจะเป็นยังไงเลยค่ะ 5555 คงต้องปรับไปเรื่อยๆตามอารมณ์ชีอะนะ .... อีกอย่างคือมาดามเป็นเด็กไม่ชอบมือเปื้อนค่ะ (ตลกอะ) ชีถึงใช้ช้อนส้อมได้ดีเพราะชีไม่ต้องการให้อะไรมาเลอะมือชี 😒
•ทำไงให้ลูกเคี้ยวข้างแบบปิดปาก? ต้องบอกเลยว่า ไม่ได้สอนเลยค่ะ มาดามชีเป็นเอง ☺️ แรกๆตอนป้อนชีก็กินแบบจ๊อบแจ๊บนะ แต่พอยิ่งโตยิ่งเห็นระเบียบในตัวลูกที่เป็นเองโดยไม่ต้องสอน ไม่ว่าจะเคี้ยวข้าวปิดปาก/ไม่คุยโวยวายตอนกินข้าว/ จะกินอะไรก็ตามต้องนั่งลงกินให้เป็นที่เป็นทาง/ อยากกินนมกินน้ำลูกก็จะรีบไปหาที่นั่งเพื่อกินน้ำกินนม .... แค่นี้ก็ชื่นใจคนสอนแล้ว ☺️
แม่ๆต้องปรับทัศนคติตัวเองใหม่ก่อนว่า ลูกกินได้ลูกกินดีก็พอแล้ว ไม่ต้องไปบังคับให้ลูกต้องทานหมดถ้วยหมดจาน มันไม่ใช่จุดมุ่งหมายในการกินค่ะคุณแม่ ให้ลูกได้สนุกกับการกิน โดยไม่ต้องมีเสียงนกเสียงกาเสียงเชียร์ของเราๆไปกวนใจลูก ไม่ต้องไปพูดบ่น บังคับลูกค่ะ เราอย่าไปสร้างภาพจำให้ลูกว่าการกินข้าวคือการทรมานใจและถูกบังคับจิตใจ ... ที่สำคัญโภชนาการของอาหารก็สำคัญ ไม่ใช่นึกจะเอาอะไรให้ลูกกินก็ปล่อยไป ลูกยังมีเวลาอีกเยอะให้ได้รู้จักอาหารขยะ ในช่วงที่เค้าเชื่อฟังและสั่งสอนได้ คุณแม่ต้องกอบโกยและสอนลูกค่ะ 😬
#kidznadoo
kidznadoo 在 Facebook 的精選貼文
เพราะเอ็มเป็นคนหนึ่งที่ชีวิตเจอพลังลบมาเยอะมาก ตลอดเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่จนถึงตอนนี้ .... และเอ็มรู้ดีว่า พลังลบ เหล่านี้มันบั่นทอนการใช้ชีวิตมากขนาดไหน....
หลายคนมักอยากรู้ว่า เอ็มเอาพลังบวกมาจากไหน ทำไมถึงเป็นคนคิดบวกได้ขนาดนี้... บอกเลยว่าเอ็มไม่ใช่คนที่คิดบวก แค่เป็นคนๆนึงที่อยู่ในสังคมคิดลบ จนหายใจไม่ออก และไม่อยากให้ใครต้องเจอแบบเอ็มเลย
เอ็มเจอมาสารพัดรูปแบบของคำว่า พลังลบ (รวมไปถึงการถูก Verbal Bullying)
-อีบ้านนอก
-อีหน้าลาว
-ลูกไอ้ลาว
-ลูกไอ้หม่ำ
-ลูกตลก
-ไอ้ตัวตลก
ถูกเรียกชื่อ ไอ้หม่ำ แทนชื่อของเราเอง (ไม่ใชแค่เพื่อน รุ่นน้อง รุ่นพี่เท่านั้น ครูอาจารย์บางท่านก็เรียก)
เริ่มโตมาหน่อยยังไม่ทันได้หายใจจากคำด่าเดิมๆ
-อีลาว
-อีกระแดะ ดัดจริต(แค่เพราะเราอยากจะพูดภาษาอังกฤษในสำเนียงที่ใช่ก็โดนนะ)
-เนียนวะ มึงเป็นลาวไม่ใช่หรอ ตรุษจีนหยุดกะเค้าด้วยหรอ (อส!!! ทั้งห้องมีมาเรียนอยู่ไม่ถึง5คน มึงให้กูมานั่งเรียนกับใคร เพื่อนกูหยุด😒😒)
พอไปเรียนนอก-เรียนจบ
-ผลาญเงินพ่อ
-ทำเป็นไฮโซ
-อัพเกรดตัวเอง
พอไปทำศัลยกรรม
-อีปลอม
-พลาสติกมาก
-ลืมกำพืด
-หน้าเหมือนพ่อ น่าอายตรงไหน
พอแต่งงาน-มีลูก
-ลูกออกมา ผัวได้ขอหย่าแน่
-ลูกตัองหน้าหักแน่ๆ
คือสารพัดคำที่ทำให้กำลังใจล้มเหลวจริงๆ
ทุกวันนี้คือก้าวข้าม เดินผ่านจุดนั้นมาได้และรู้สึกว่า สังคมเรามัน toxic มาก
ณ ตอนนั้นที่เจอคือ ร้องไห้ เสียใจ บั่นทอน ไม่มั่นใจ จนกลายเป็นตอนนี้เข้าใจและไม่ใส่ใจอะไรอีกแล้ว
ทุกครั้ง ที่ทุกคนรู้สึกว่า ทำไมเอ็มมีพลังบวกเยอะจัง ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่มันเป็นเพราะเอ็มได้รับพลังลบมามากต่างหาก วันนี้เลยอยากถ่ายทอดพลังบวกให้กับทุกคน
ทุกวันนี้สังคมเราติดลบทางความคิดมาก อย่าปล่อยให้พลังลบกลืนกินจิตใจเรา
ถ้าเราคิดบวก ชีวิตเราก็บวก ไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเราได้ นอกจากตัวของเราเองจริงๆ
เคยมีคนส่งมาถามว่า ทำไมเพจของเอ็มในเฟสบุ๊ค (kidznadoo, MBusarakum) ถึงใช้คำว่า Motivational Speaker เพราะเอ็มอยากถ่ายถอดพลังบวกให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับคนที่มีจิตอคติ ความคิดที่ไม่สร้างสรรค์ คำพูดที่ไม่สร้างคน
อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเองและจงทำในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จแบบที่ไม่ต้องแวะเตะปากหมาข้างทาง
ชีวิตเราคือของเรา อย่าให้ใครมาลิขิตชีวิตเราด้วยขี้ปากเหม็นๆ อี๋ แอวะ พวกเค้าไม่คู่ควรอะ ❤️
kidznadoo 在 เอ็ม บุษราคัม เผยอาการของลูกสาว - YouTube 的推薦與評價
เอ็ม บุษราคัม เผยอาการของลูกสาวขอบคุณข้อมูล: Kidznadoo ขอขอบคุณข้อมูลจาก:https://khobkhao.com/archives/184128#ข่าวเด่นข่าวเด็ด #ข่าวเด็ด ... ... <看更多>