ดอกเบี้ยติดดิน หนี้ท่วมหัว เงินล้นโลก เจ้าของเหมืองบอกทอง 5,000$ อยู่ไม่ไกล
หลังจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งด้วยการขายหุ้นเหมืองทองคำ Barrick Gold ที่พึ่งซื้อมาในไตรมาส 2 ออกไปกว่า 42% จากที่ถืออยู่ ทำเอาหลายคนที่ซื้อตามปู่ต้องหลังหักกันเป็นแถบ
ทาง Kitco News จึงไม่รอช้า โดยทำการเชิญบุคคลในวงการเหมืองแร่อย่าง Rob McEwen เจ้าของเหมือง McEwen Mining ที่มี Market Cap. ราว ๆ 4 แสนล้านดอลลาร์มาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทองคำ และทิศทางของอุตสาหกรรมเหมืองแร่
เริ่มต้นกันที่เรื่องการเลือกตั้งสหรัฐที่ Rob แอบแซวเล็กน้อยว่าน่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่บรรดาทนายความทำเงินได้มากที่สุด ส่วนผลการเลือกตั้งที่ดูเหมือนว่าโจ ไบเดนจะเป็นผู้ชนะนั้น เขามองว่ามันแนวโน้มที่จะทำให้หนี้ของสหรัฐที่สูงอยู่แล้วนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะปกติแล้วพรรคเดโมแครตมักจะใช้จ่ายงบประมาณมากกว่ารีพับลิกันนั่นหมายถึงการขาดดุลงบประมาณจำนวนมากที่ตามมา
โดยตอนนี้หนี้สหรัฐกำลังพุ่งสูงขึ้นไปถึง 130%ต่อGDP ซึ่งจากงานวิจัยของ Grant Williams (นักกลยุทธ์คนหนึ่ง) นั้นพบว่าประเทศที่มีหนี้สูงกว่า 130%ต่อGDP จะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้มากถึง 98%
มันฟังดูตลกที่ประเทศอย่างสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ เพราะธนาคารกลาง (Fed) สามารถพิมพ์ดอลลาร์ได้อย่างไม่จำกัด แต่คุณรู้ไหมครับว่าประสิทธิภาพของการพิมพ์เงินมันลดลงขนาดไหน?
ปริมาณเงินที่ Fed พิมพ์ในเวลาเพียง 4 เดือน (มีนาคม-กรกฎาคมที่ผ่านมา) เพื่อสู้กับวิกฤตโควิด19 นั้น เป็น 20 เท่าของปริมาณเงินที่ Fed พิมพ์ในระยะเวลา 18 เดือนเพื่อแก้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008-2009 และปัญหาดังกล่าวก็กำลังเกิดขึ้นกับประเทศสกุลเงินหลักได้แก่ อังกฤษ ญี่ปุ่น ประเทศในยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย เช่นเดียวกัน
Rob บอกว่าตอนนี้ปัญหาเงินเฟ้อมันกำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นและพันธบัตร ดูได้จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจนเข้าใกล้ 0% คุณลองย้อนไปเมื่อ 65 ปีที่แล้ว ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าสภาวะดอกเบี้ย 0% มันเป็นยังไง? บริษัทประกันและกองทุนบำเหน็จบำนาญที่ต้องการผลตอบแทนประมาณ 5-6%ต่อปี จะอยู่รอดได้ยังไง?
พอมองไปที่ประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันได้แก่ 1. หนี้ท่วมโลก 2. เงินล้นโลก 3. ดอกเบี้ยต่ำ มันก็มักจะเกิดเรื่องร้าย ๆ เช่น ฟองสบู่แตกหรือการล้มละลายตามมาอยู่เสมอ
ทองคำคือคำตอบใช่ไหม? แม้ว่าโลกจะเลิกใช้ Gold Standard นานแล้วแต่ Rob บอกว่าตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ดูคล้ายระบบ Gold Standard นะ คือธนาคารกลางของประเทศในตะวันออกกลาง, รัสเซีย และจีน สะสมทองคำมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำมาหนุนหลังสกุลเงินและแสดงให้ประเทศอื่น ๆ ได้รับรู้ว่าสกุลเงินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด
ทำให้ Rob มองว่าราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นในระยะยาว พร้อมกล่าวว่า “5,000 $/oz. ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม” เขาอธิบายต่อว่าตอนนี้ในสื่อโซเชียลนั้นเต็มไปด้วยกระแสเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่ทองคำไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ แต่ในวันนึงที่ผู้คนเริ่มหันกลับมามองทองคำและพูดเรื่องทองคำกันเป็นปกตินั่นแหละจะเป็นเวลาที่ราคาทองคำจะทะยาน
นอกจากทองคำแล้ว Rob บอกว่าแร่เงิน (Silver) ก็น่าสนใจ เขาอธิบายว่าราคาแร่เงินนั้นมักจะขึ้นรุนแรงกว่าราคาทองคำในช่วงที่ทองคำเป็นขาขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณกะจังหวะได้อย่างแม่นยำนั้นแร่เงินมักจะทำกำไรได้มากกว่า
ส่วนเรื่องสถานการณ์ของกิจการเหมืองแร่นั้น ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่เหมืองต้องปิดทำการจากสถานการณ์การระบาด แต่ในตอนนี้การผลิตต่าง ๆ นั้นเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว โดย Rob พูดในฐานะเจ้าของเหมืองว่า การเปิดเหมืองมันสำคัญกับเหล่าพนักงานมาก เพราะแต่ละคนต่างก็มีครอบครัวต้องดูแล
ทิ้งท้ายด้วยประเด็นที่ตอนนี้มีหลายเหมืองแร่ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตนั้น Rob ให้ความเห็นว่าสำหรับเขามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ คือมันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ที่ค่อนข้างลงตัว
คุณอาจจะคิดว่า AI เข้ามาแย่งงานพนักงานของผม แต่มันไม่จริงเลย เพราะอุตสาหกรรมเหมืองแร่กำลังจะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากจะมีคนเกษียณเป็นจำนวนมาก แต่มีคนเข้ามาใหม่จำนวนน้อย คุณลองไปถามเด็กนักเรียนตอนนี้ดูสิว่ามีใครอยากทำงานในเหมืองบ้าง? มันมีน้อยลงมาก ๆ ซึ่ง AI ก็จะเข้ามาเติมเต็มแรงงานส่วนนี้ที่หายไป
สรุป
ประเด็นหลักคือ Rob McEwen มองว่าทองคำจะเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ เหตุผลเพราะในประวัติศาสตร์ เมื่อ 3 เหตุการณ์ได้แก่ 1. หนี้แต่ละประเทศสูงมาก 2. ปริมาณเงินขยายตัวเป็นอัตราเร่งและ 3. อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว มักจะก่อให้เกิดหายนะต่อระบบการเงินส่งผลให้ทองคำมีมูลค่ามากขึ้น
แหม่... บัฟเฟตต์พึ่งขายเหมืองทองไป แต่ฝั่งเจ้าของเหมืองก็ยังมองทองคำเป็นขาขึ้น แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไร เชื่อใครดีครับ?
.
แอดปุง
เเจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
เริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ รุ่นที่ 6
วันที่ 6 ธ.ค. 2563
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
「10 ประเทศในยุโรป」的推薦目錄:
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 KIM Property Live Facebook 的最佳解答
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 KIM Property Live Facebook 的最佳解答
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 เปิดชื่อ 10 เมือง ท่องเที่ยว ที่ดีที่สุดในยุโรป ที่ควรรีบไปเที่ยวให้เร็ว ... 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับประเทศในยุโรป ที่ได้วีซ่าเชงเก้นง่ายที่สุด | GoNoGuide Visa 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับ ประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปยุโรป 2022 ..! - YouTube 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับประเทศน่าอยู่ มีความสุขที่สุดในโลก 2021 - YouTube 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 ประเทศในยุโรป ประเทศไหน เข้าง่ายสุด ไม่ต้องตรวจโควิด ไม่ต้องกักตัว 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับประเทศในยุโรป ที่ได้วีซ่าเชงเก้นง่ายที่สุด | GoNoGuide Visa 的評價
- 關於10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับประเทศในยุโรป ที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุด… สำหรับคนงบ ... 的評價
10 ประเทศในยุโรป 在 KIM Property Live Facebook 的最佳解答
ทองคำจบรอบแล้วใช่ไหม? เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกขายทองคำสุทธิในรอบ 10 ปี
มีรายงานจากทางสภาทองคำโลก (World Gold Council) ว่าในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลกขายทองคำสุทธิเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยขายออกเป็นจำนวน 12.1 ตัน เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่แล้วที่บรรดาธนาคารกลางแต่ละประเทศซื้อทองคำรวมกันสุทธิเป็นจำนวน 141.9 ตัน
Louise Street หัวหน้านักวิเคราะห์จาก WGC ได้กล่าวว่าเขาไม่แปลกใจที่กับเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะในปีนี้ราคาทองคำได้ขึ้นมากว่า 50% จากประมาณ 1,300 $/oz. เมื่อต้นปี มาอยู่ที่ประมาณ 1,875 $/oz. ในปัจจุบัน ทำให้ธนาคารกลางจึงอาจพิจารณาลดสัดส่วนการถือทองคำเป็นทุนสำรองเพื่อกระจายไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ บ้าง (เช่น สกุลเงินหลัก น้ำมันดิบ และยูเรเนียม) รวมถึงเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจในประเทศที่ต้องเผชิญวิกฤตการระบาดของโควิด19 ที่รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนราคาทองคำในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็ไม่ขยับไปไหน ออกจะลดลงเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่เคยพุ่งขึ้นไปสูงเกิน 2,000 $/oz. แล้วก็ร่วงลงมา จึงเกิดคำถามตามมาว่าทองคำตอนนี้แพงไปแล้วหรือไม่? เพราะขนาดแบงค์ชาติยังขายออกมา
แต่พอเข้าไปดูรายละเอียดไส้ในจริง ๆ กลับพบว่าตัวเลขขายสุทธิ 12.1 ตันนี้ไม่ได้แสดงถึงภาพรวมเลย เพราะปริมาณทองคำสำรองของประเทศที่ถือทองคำมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น อินเดีย และเนเธอร์แลนด์นั้นแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย (ทองคำสำรองของไทยเองก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน) มีเพียงเยอรมันและรัสเซียเท่านั้นที่ขายออกมาในปริมาณ 0.5 ตันและ 1.3 ตันตามลำดับ
ส่วนประเทศที่ขายทองคำออกมาหนัก ๆ นั้นมี 4 ประเทศ ประกอบด้วยอุซเบกิสถาน 34.9 ตัน, ตุรกี 22.3 ตัน, ทาจิกิสถาน 9.2 ตัน และฟิลิปปินส์ 7.8 ตัน เมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่าไม่น่าจะเป็นการขายเพื่อทำกำไรหรือเพื่อปรับสัดส่วนของทุนสำรองแต่อย่างใด แต่เป็นการขายเพื่อนำเงินไปอัดฉีดในการแก้วิกฤตมากกว่า เพราะแต่ละประเทศที่กล่าวมานั้นมีปัญหาหนักจริง ๆ
โดยเฉพาะตุรกีที่เจอปัญหาทั้งด้านการเมืองที่มีสงคราม ด้านเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ก็ต้องหยุดชะงัก ค่าครองชีพในประเทศที่สูงขึ้นไม่หยุด ด้านการระบาดที่รุนแรงและทำท่าจะมีเวฟ 2 แบบหลาย ๆ ประเทศในยุโรป ค่าเงินลีราที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้านับแค่ปีนี้ก็อ่อนค่าลงไปแล้วถึง 30% โดยทางธนาคารกลางของตุรกีก็พยายามเอาเงินสำรองออกมาสู้ค่าเงิน (คุ้น ๆ ไหมครับ) และล่าสุดวันนี้ก็โดนแผ่นดินไหวซ้ำเข้าไปอีก เรียกว่าหันไปทางไหนก็วิกฤตจริง ๆ ครับ
ทางอุซเบกิสถานและทาจิกิสถานนั้นเป็นประเทศที่มีเหมืองของแหล่งแร่ที่สำคัญได้แก่ ทองคำ ทองแดง อลูมิเนียม และยูเรเนียม ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ติดตามการเมืองโลกบ่อย ๆ ก็น่าจะเดากันได้นะครับว่าประเทศที่เซ็กซี่แบบนี้มักจะมีปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่เรื่อย ๆ สกุลเงินขาดเสถียรภาพ ละเป็นลูกค้าประจำของ IMF
ส่วนประเทศสุดท้ายที่อยู่ใกล้บ้านเราอย่างฟิลิปปินส์นั้นก็มีผู้ติดเชื้อโควิด19 พุ่งไปจนเกือบถึง 4 แสนราย ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน และล่าสุดก็ต้องเตรียมรับมือพายุใต้ฝุ่นอีกแล้ว
สรุปแล้วการขายทองคำสุทธิของธนาคารกลางทั่วโลกครั้งนี้นั้น ไม่ได้เป็นการขายเพื่อทำกำไรและประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้ขาย ส่วนประเทศที่ขายนั้นน่าจะเป็นการขายเพื่อความอยู่รอดมากกว่าการขายเพื่อทำกำไร
นอกจากนี้ถ้าคุณไปดูปริมาณการซื้อขายทองคำของธนาคารกลางเทียบกับราคาทองคำแล้วจะพบว่ามันไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กันเท่าไหร่ อย่างครั้งล่าสุดที่ธนาคารกลางขายสุทธิในปี 2010 ที่ขณะนั้นราคาทองคำก็ยังเป็นขาขึ้นอยู่ ก่อนจะไปทำจุดสูงสุดตอนปลายปี 2011 และอย่างที่ทราบกันว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าทองคำจะขึ้นหรือลง ธนาคารกลางก็ซื้อมาตลอดทาง
เพราะฉะนั้นราคาทองคำจะเป็นยังไงต่อไป? ก็บอกตรง ๆ ครับว่าไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าข่าวนี้ไม่น่าจะมีผลอะไรครับ แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรกันบ้าง คิดว่าช่วงนี้ทองคำยังน่าลงทุนไหมครับ?
.
แอดปุง
10 ประเทศในยุโรป 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ทำไม สวิตเซอร์แลนด์ จึงเป็นประเทศแห่ง ยารักษาโรค? /โดย ลงทุนแมน
ในบรรดาปัจจัย 4 ของมนุษย์ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
“ยารักษาโรค” อาจเป็นสินค้าที่เราเลือกเองได้ “น้อย” ที่สุด
ไม่มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อป่วยแล้ว ยิ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาราคาสูงมาก
หลายคนก็ยอมจ่าย หวังให้กลับมาหายเป็นปกติ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่อุตสาหกรรมยารักษาโรคจะสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้แก่ประเทศผู้ผลิต
หนึ่งในนั้นก็คือสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 8 ล้านคน
แต่กลับส่งออกยารักษาโรคมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเยอรมนี
อะไรที่ทำให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ก้าวขึ้นมามีบทบาทในอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของมนุษย์?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สวิตเซอร์แลนด์ จึงเป็นประเทศแห่ง ยารักษาโรค?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
สวิตเซอร์แลนด์เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ถูกรายล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์
ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทางเดียวที่จะเชื่อมกับโลกภายนอกได้ คือแม่น้ำไรน์
แม่น้ำไรน์เป็นแม่น้ำนานาชาติของยุโรปตะวันตก มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาแอลป์
ไหลผ่านสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะไหลขึ้นทางเหนือเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ไหลผ่านเมืองใหญ่น้อยทางตะวันตกของเยอรมนี
ก่อนจะออกสู่ทะเลเหนือที่เนเธอร์แลนด์
แม่น้ำแห่งนี้เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป เป็นเส้นทางการค้าตั้งแต่ยุคกลาง
พอถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แม่น้ำไรน์ช่วงที่ผ่านเยอรมนี ก็เป็นแหล่งขนส่งแร่เหล็กและถ่านหิน
เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็ก และโรงงานอุตสาหกรรมเคมี
องค์ความรู้ด้านเคมีมีต้นกำเนิดมาจากอังกฤษ ก่อนจะถูกต่อยอดโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน จนเมื่อเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเริ่มมาจากการคิดค้นสีย้อมผ้า
แล้วการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ไหลทวนกระแสน้ำมาถึงสวิตเซอร์แลนด์
โดยมีเมืองสำคัญที่สุดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ ก็คือ “บาเซิล”
บาเซิลเป็นเมืองการค้ามาตั้งแต่ยุคโรมัน และเป็นส่วนหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 16
หลังจากนั้นเมืองนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางธนาคารและการค้าสิ่งทอ
ทำเลของบาเซิลตั้งอยู่ในจุดที่พรมแดนของ 3 ประเทศมาบรรจบกัน คือสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี บาเซิลจึงได้รับอิทธิพลจากทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านเคมี และอุตสาหกรรมการผลิตสีย้อม
แต่ข้อดีที่สุด ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมเคมีของสวิตเซอร์แลนด์ก็คือ
“การไม่มีกฎหมายสิทธิบัตร”
เมื่อมีการผลิตงานวิจัยและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ประเทศในยุโรป โดยเฉพาะ เยอรมนีและฝรั่งเศส ต่างออกกฎหมายสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ของตัวเอง โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านการสังเคราะห์สีย้อมผ้า
นักวิทยาศาสตร์หลายคน ถึงแม้จะมีองค์ความรู้ แต่ติดในเรื่องสิทธิบัตร ทำให้ไม่สามารถวิจัยและพัฒนาต่อได้ สวิตเซอร์แลนด์จึงกลายเป็นสวรรค์ของนักวิจัย
โดยจุดหมายปลายทางก็อยู่ที่เมืองบาเซิล..
ด้วยทำเลที่ตั้งมีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน เหมาะแก่การขนส่งและเป็นวัตถุดิบของโรงงาน
อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเงิน ธนาคารในบาเซิลมีเงินทุนมหาศาล
เมืองแห่งนี้จึงดึงดูดนักลงทุนมากมายให้มาตั้งโรงงานผลิตสีสังเคราะห์
ปี ค.ศ. 1859 นักวิจัยชาวฝรั่งเศส Alexandre Clavel, Louis Durand และ Etienne Marnas ได้อพยพมาเพื่อตั้งโรงงานผลิตสีสังเคราะห์ในบาเซิล ไม่นานก็สามารถสังเคราะห์สาร Fuchsine ที่ให้สีบานเย็นได้
โดยนักวิจัยทั้ง 3 นี้ได้ตั้งโรงงานชื่อว่า โรงงานเคมีแห่งบาเซิล หรือ Chemische Industrie in Basel ซึ่งถูกย่อว่า “CIBA”
ต่อมานักเคมีของ CIBA คือ Alfred Kern ได้ออกมาตั้งโรงงานของตัวเองร่วมกับนักธุรกิจ Eduard Sandoz ในปี ค.ศ. 1886 เกิดเป็นบริษัท “Sandoz” ในปี ค.ศ. 1886 ซึ่งได้สังเคราะห์สาร Auramine O ที่ให้สีเหลืองทอง
ไม่นาน สวิตเซอร์แลนด์ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมเคมี ส่งออกสีสังเคราะห์แข่งกับเยอรมนีและฝรั่งเศส จนทำให้นักธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศ พากันเรียกสวิตเซอร์แลนด์ว่า
“ดินแดนแห่งนักปลอมแปลง”
ใครจะไปเชื่อว่า ครั้งหนึ่ง สินค้าที่ถูกส่งออกจากสวิตเซอร์แลนด์ จะถูกมองว่าเป็นของก๊อบปี้..
แรงกดดันของการเป็นนักก๊อบปี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนรัฐบาลเยอรมันขู่ว่าจะยกเลิกสนธิสัญญาการค้าระหว่าง 2 ประเทศ
ทำให้ในที่สุด รัฐบาลสวิสจำเป็นต้องออกกฎหมายสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 1907
แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเคมีก็ได้ฝังรากอย่างแข็งแกร่งที่บาเซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่การถูกมองว่าเป็นนักก๊อบปี้
ทำให้เหล่านักธุรกิจและนักวิจัยชาวสวิส จำเป็นต้องหาทางต่อยอดจากการผลิตสีสังเคราะห์
ชาวสวิสขยันขันแข็ง มีหัวการค้า และเป็นระบบระเบียบอยู่เป็นทุนเดิม
การขาดแคลนทรัพยากรทำให้มุ่งเน้นการผลิตสินค้าขนาดเล็กมาเนิ่นนาน
สินค้าที่ขนส่งง่าย มีกรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อน มีนวัตกรรมเฉพาะตัว และมีราคาสูงพอที่จะคุ้มทุน
ซึ่งตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือ นาฬิกา
องค์ความรู้ด้านเคมี สามารถนำมาต่อยอดได้หลากหลาย
หนึ่งในผลผลิตที่น่าสนใจ ก็คือ “ยารักษาโรค”
ถึงแม้จะมาทีหลังในอุตสาหกรรมสีสังเคราะห์ แต่สำหรับยารักษาโรค อุตสาหกรรมนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก
ด้วยองค์ความรู้ด้านเคมีที่มีอยู่แล้ว
บวกกับระบบการศึกษาของสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากระบบเยอรมัน
ที่เน้นการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับภาคอุตสาหกรรม
จึงเกิดเป็นงานวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิชาการ กับนักธุรกิจในแวดวงอุตสาหกรรม
นักธุรกิจชาวสวิสจึงตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมยา
ปี ค.ศ. 1896 นักธุรกิจ Fritz Hoffmann - La Roche ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทเคมีภัณฑ์ F. Hoffmann-La Roche โดยตั้งแผนกเพื่อมุ่งเน้นการวิจัยยารักษาโรคโดยเฉพาะ
ด้วยองค์ความรู้และการวางแผนอย่างเป็นระบบ
ในที่สุด หัวหน้าฝ่ายวิจัย Carl Schaerges ก็ได้ค้นพบ ไอโอดีน ในการรักษาโรคไทรอยด์ได้เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนายารักษาโรคไทรอยด์ในเวลาต่อมา
เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่เคยผลิตสีย้อมผ้า ต่างก็หันมาเพิ่มแผนกใหม่ เพื่อวิจัยและพัฒนายารักษาโรคโดยเฉพาะ
ปี ค.ศ. 1900 บริษัท CIBA สามารถสังเคราะห์สาร Salen ซึ่งเป็นสารตั้งต้นทางยาตัวแรก
ซึ่งเป็นโครงสร้างที่จะถูกพัฒนาต่อมาเป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
เช่นเดียวกับบริษัท Sandoz ได้ตั้งแผนกเภสัชกรรมในปี ค.ศ. 1917 เพื่อพัฒนายารักษาโรค
จนสามารถสังเคราะห์สาร Ergotamine ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของยารักษาโรคไมเกรน
ไม่นาน เมืองบาเซิลก็กลายมาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการแพทย์และเภสัชกรรมของโลก
โดยมีสถาบันการศึกษาอย่าง University of Basel และ Friedrich Miescher Institute in Basel เป็นผู้ผลักดันงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง
จากสารตั้งต้นหนึ่งตัว ก็ถูกต่อยอดจนกลายเป็นยารักษาโรค
เมื่อมีโครงสร้างของยาหนึ่งตัว ก็มีการพัฒนายาตัวใหม่จากโครงสร้างเดิมต่อกันไปเรื่อยๆ
และจากอุตสาหกรรมยา ก็ถูกต่อยอดจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี
ปัจจุบัน CIBA และ Sandoz ได้ควบรวมกันเป็นบริษัท “Novartis” และก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยาชั้นนำ ควบคู่กับ F. Hoffmann-La Roche
โดยทั้ง 2 บริษัท ต่างก็มียอดขายอยู่ในระดับ Top 5 ของโลก
F. Hoffmann-La Roche เป็นผู้นำในการพัฒนายาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรัง
เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน และโรคมะเร็ง รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
อุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ACCU-CHEK
ส่วน Novartis เป็นผู้นำในการพัฒนายารักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคทางระบบประสาท ไปจนถึงยาใช้ภายนอกอย่างยาทาแก้ปวด Voltaren ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยชื่อนี้..
ถึงแม้จะมีจุดเริ่มต้นของการลอกเลียนแบบ สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ต่อยอด และพัฒนาเทคโนโลยี “เฉพาะทาง” จนกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำในวงการเภสัชกรรม มีสิทธิบัตรยา
และงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
มาถึงตรงนี้ การที่ชาวสวิสร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ไม่ใช่เพราะสร้างสินค้าที่ทำตามความต้องการของลูกค้าและตลาด
แต่ก้าวนำลูกค้าด้วยนวัตกรรม และคุณภาพของสินค้าที่เหนือใคร
จนสามารถส่งออกและสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ
ซึ่ง “ยารักษาโรค” คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของเรื่องนี้
ทั้งหมดนี้ ก็น่าจะสรุปได้ว่า การไม่มีทางออกทะเลอาจไม่ใช่ปัญหาของชาวสวิส
เพราะพวกเขามีอีกทางออกหนึ่งอยู่แล้ว ที่เรียกว่า นวัตกรรม..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.bs.ch/en/Portrait/cosmopolitan-basel/history.html
-https://www.aiche.org/sites/default/files/cep/20131231_2.pdf
-https://irp-cdn.multiscreensite.com/bcb8bbe3/files/uploaded/Basel%20Pharma%20Cluster.pdf
-https://www.pharmaceutical-technology.com/features/formula-success-inside-swiss-pharma/
-https://www.novartis.us/about-us/who-we-are/company-history
-https://www.roche.com/about/history.htm
10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับประเทศในยุโรป ที่ได้วีซ่าเชงเก้นง่ายที่สุด | GoNoGuide Visa 的推薦與評價

เอาไว้ดูกันเล่นๆเผื่อเป็นไอเดีย ว่าวีซ่าเชงเก้น ประเทศ ไหน ผ่านง่ายสุด ในยุโรป หมายเหตุ : เป็นสถิติทั่วโลก 1. Lituania 2. Estonia 3. ... <看更多>
10 ประเทศในยุโรป 在 10 อันดับ ประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปยุโรป 2022 ..! - YouTube 的推薦與評價

10 อันดับ ประเทศ ที่ยากจนที่สุด ใน ทวีป ยุโรป 2022 ..! 11K views · 7 months ago ...more. THT TV. 399K. Subscribe. 399K subscribers. 342. Share. ... <看更多>
10 ประเทศในยุโรป 在 เปิดชื่อ 10 เมือง ท่องเที่ยว ที่ดีที่สุดในยุโรป ที่ควรรีบไปเที่ยวให้เร็ว ... 的推薦與評價
อ้างอิง https://bestlifeonline.com/news-best-cities-visit-europe สมัครเป็นสมาชิกพิเศษ สนับสนุน GoNoGuide https://bit.ly/joingonoduie ... ... <看更多>