ยุคสมัยที่ถูกเรียกว่า Greatest Generation /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงกลุ่มประชากรที่เกิดในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
เราอาจคุ้นเคยกับชื่อ Baby Boomers, Generation X, Generation Y
แต่รู้หรือไม่ว่า มีคนจากอีกยุคสมัยหนึ่ง ได้ถูกยกย่องให้เป็น “Greatest Generation”
ซึ่งไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือกว่ายุคอื่นๆ
แต่มีสาเหตุจากความยอดเยี่ยมในการเอาตัวรอด จนผ่านพ้นวิกฤติมาแล้วทุกรูปแบบ
เรื่องราวชีวิตของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร
แล้วพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอะไรกันมาบ้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
----------------------
----------------------
Greatest Generation เป็นคำใช้เรียกแทนกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1901-1927
ขณะนั้น โลกมีประชากรอยู่ราว 1,750 ล้านคน โดยประเทศที่ประชากรมากสุด 5 อันดับแรก คือ
1. จีน 419 ล้านคน
2. จักรวรรดิอังกฤษ 391 ล้านคน
3. จักรวรรดิรัสเซีย 172 ล้านคน
4. สหรัฐอเมริกา 96 ล้านคน
5. จักรวรรดิฝรั่งเศส 80 ล้านคน
ส่วนประเทศไทย อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีประชากรอยู่ประมาณ 8.1 ล้านคน
และเพิ่งมีการประกาศพระราชบัญญัติเลิกทาสไปไม่นาน
ในวัยเด็ก..
คนยุคนี้ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อสงคราม
ในช่วงปี 1914-1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปะทุขึ้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ในทวีปยุโรป ระหว่าง
ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง นำโดย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ออตโตมัน และบัลแกเรีย
งบประมาณที่ถูกใช้ในการทำสงครามนี้ รวมกันทั้งหมดอยู่ที่ 6.1 ล้านล้านบาท
หรือคิดเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบันเท่ากับ 105 ล้านล้านบาท
ซึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มีพลังทำลายล้างสูงกว่าอดีต
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนกว่า 17.6 ล้านคน
ที่น่าเศร้าใจคือ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่นั้น เป็นหัวหน้าครอบครัวของเด็กยุค Greatest Generation
ต่อมาเมื่อสงครามทำท่าใกล้ยุติลง ก็ดันเกิดปัญหาใหม่ขึ้น นั่นคือเหตุโรคระบาด
ในช่วงปี 1918-1920 ไวรัสไข้หวัดใหญ่ แพร่ระบาดไปทั่วโลก
แม้ไม่มีหลักฐานถึงจุดเริ่มต้น แต่เนื่องจากสเปนรายงานข่าวเป็นแห่งแรกๆ โรคจึงถูกเรียกว่า ไข้หวัดสเปน
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อกว่า 500 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรโลก
และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 50 ล้านคน
ทั้งนี้ ไวรัสได้ระบาดถึงประเทศไทยด้วย โดยคาดว่าติดมาจากทหารที่เดินทางไปร่วมรบในฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้คนไทยป่วยถึง 2.3 ล้านคน และเสียชีวิตราว 80,000 คน
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น..
ทุกคนเริ่มมีความหวังกับชีวิต หลังจากวิกฤติได้ผ่านพ้นไป
ในทศวรรษ 1920 เศรษฐกิจโลก กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว
จากการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่ทำให้ภาคธุรกิจสามารถผลิตสินค้าได้ปริมาณมากขึ้น
ส่งผลให้สินค้าหรู มีราคาถูกลง เช่น รถยนต์ที่บริษัท Ford และ General Motors ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่
ขณะที่การเดินทางบนท้องฟ้า เริ่มไปได้ไกลขึ้น
โดยมีการทดสอบเครื่องบินจากนิวยอร์ก ข้ามมหาสมุทรไปลงที่กรุงปารีส แบบไม่หยุดพักได้สำเร็จ
นอกจากนี้ สื่อวิทยุยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้มีการคิดค้นโทรทัศน์ขึ้นมา
ทำให้เกิดการแพร่หลายทางวัฒนธรรมไปในวงกว้าง
ดูเหมือนว่า ทุกคนกำลังเห็นโลกในอนาคต ขยับใกล้เข้ามา แต่แล้วทุกอย่างก็ล่มสลายในพริบตา
ในปี 1929 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ที่เติบโตร้อนแรงมายาวนาน
ก็ได้เกิดฟองสบู่แตกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression
เพียงแค่ 3 ปีให้หลัง มูลค่า GDP ของโลก หายไปถึง 15% และมีคนตกงานราว 1 ใน 4 ของประชากร
แม้แต่ประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเริ่มมีการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศมากขึ้น
ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับกระแสทางสังคมและการเมือง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี ค.ศ. 1932 หรือ พ.ศ. 2475
ต่อมาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..
ฝันร้ายของคนยุคนี้ยังไม่จบลง เพราะสงครามได้กลับมาหลอกหลอนพวกเขาอีกครั้ง
ในช่วงปี 1939-1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปิดฉากขึ้นทั่วทุกภูมิภาค ระหว่าง
ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดย สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ รัสเซีย และจีน
กับฝ่ายอักษะ นำโดย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
ทุกประเทศได้ทุ่มกำลังทหารและงบประมาณอย่างเต็มที่ เพื่อเอาชนะสงคราม
โดยใช้เงินรวมกันทั้งหมด 42 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 607 ล้านล้านบาท
และคราวนี้ ผู้คนจากยุค Greatest Generation ได้กลายเป็นทหารในสนามรบ
หรือไม่ก็ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสงคราม
ซึ่งด้วยสถานการณ์ที่ยืดเยื้อและรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนสูงถึง 73 ล้านคน
ขณะที่ประเทศไทย เดิมทีเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศ จนบ้านเมืองและสถานที่สำคัญต่างๆ ได้รับความเสียหายไม่น้อย
ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่คนยุคสมัยนั้น ต้องฝ่าฟันกันมาตลอด
แต่ทุกอย่างได้หล่อหลอมให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความอดทน ขยันขันแข็ง และรู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด
ที่สำคัญ คนเหล่านี้คือพ่อแม่ของเด็กยุค Baby Boomers ที่คอยสั่งสอนบทเรียนชีวิตให้กับลูกหลาน ได้นำไปใช้สร้างเป็นรากฐาน จนเศรษฐกิจและสังคมสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังสงครามสิ้นสุดลง
จากเรื่องราวนี้ เราอาจจะเห็นได้ว่า
มีบางสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่คล้ายคลึงกับช่วง Greatest Generation เหมือนกัน
โลกกำลังอยู่ในช่วงที่เทคโนโลยีพัฒนาไปได้รวดเร็วสุดขีด
แต่ในทางกลับกัน ประเทศมหาอำนาจ ก็มีปัญหาขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง
และล่าสุด มนุษย์ต้องต่อสู้กับการระบาดของไวรัส COVID-19
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกยังคงหมุนต่อไปในทุกวัน
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นบททดสอบชั้นดีให้กับเรา
ให้ดูคนยุค Greatest Generation เป็นตัวอย่าง
ถ้าคนรุ่นเราสามารถผ่านมันไปได้
เราก็น่าจะถือได้ว่าเราเป็นคนรุ่นที่แข็งแกร่ง ไม่แพ้ คนรุ่นไหนในประวัติศาสตร์เช่นกัน..
----------------------
.
.
ราคาเพียง 220บาท ตกข้อละ 2 บาทนิดๆ คุ้มค่า คุ้มราคามาก สั่งซื้อได้เลยที่แฟนเพจ Digital Tips Academy (m.me/thedigitaltips)
----------------------
References
-https://www.investopedia.com/terms/t/the_greatest_generation.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_population_in_1907
-https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประชากรศาสตร์ไทย
-https://en.wikipedia.org/wiki/World_War_I
-https://spartacus-educational.com/FWWcosts.htm
-https://en.wikipedia.org/wiki/Spanish_flu
-https://www.posttoday.com/world/618205
-https://en.wikipedia.org/wiki/Roaring_Twenties#Economy
-https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Depression
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Economy_of_Thailand
-https://en.wikipedia.org/wiki/World_War_II
-https://researchworldwar2.weebly.com/economic-costs.html
เหมือนกัน อังกฤษ 在 Fah Sarika Facebook 的精選貼文
ใกล้จะสิ้นปีแล้วว ใครเตรียมแผนเที่ยวอะไรไว้ อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมด้วยนะ สิ้นปีหนาวๆแบบนี้เสื้อผ้าก็ต้องพร้อมนิดนึง วันนี้ฟ้าเลยจะมา Mix & Match เสื้อผ้าหน้าหนาวเผื่อเป็นไอเดียในการจัดกระเป๋าให้ทุกคนกัน ไปเที่ยวทั้งที ต้องสวยจัดเต็มและเหมาะกับสภาพอากาศด้วย โดยฟ้าจะยกตัวอย่าง 4 ประเทศ ให้ดูค่ะ เที่ยวไทย (เชียงราย), เกาหลี, อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งเสื้อหนาวทั้ง 4 ลุค ที่ฟ้าจะเอามา Mix & Match จะเป็นของ Uniqlo เพราะฟ้าคิดว่าแบรนด์นี้เป็นราคาที่ไม่แพง ราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง หาซื้อง่าย ดูคลิปจบแล้วสามารถไปหาซื้อได้เลยแบบไม่ต้องคิดเยอะ มีทั้งของผู้หญิง ผู้ชาย ของเด็ก และช่วง Winter Collection ของเค้านี่มีให้เลือกเยอะมากกกก คือไปที่นี่ที่เดียวจบตั้งแต่จรดยันเท้า ทั้งตัวจริงๆ ไม่ต้องวุ่นวายวิ่งวุ่นหาซื้อ อย่างฟ้าเองเวลาจะเลือกเสื้อหนาว ที่แรกก็คือนึกถึง Uniqlo เหมือนกัน และเวลาไปต่างประเทศถ้าอุปกรณ์กันหนาวไม่พอ ก็เข้า Uniqlo เลยที่เดียวจบ
มีให้ช้อปกันในออนไลน์ด้วย สะดวกไปอีก https://bit.ly/2zXSJtS
เหมือนกัน อังกฤษ 在 Sunny FC Facebook 的最讚貼文
https://www.facebook.com/WURKON/posts/1804024169901493
The Sun Hunter สองหนุ่มผู้เดินทางไปสุดขอบฟ้าเพื่อตามหาดวงอาทิตย์ (ตอนแรก)
เมื่อปีที่ผ่านมา หลายคนคงมีโอกาสได้ดูรายการท่องเที่ยวแหวกแนวรายการหนึ่งทาง LINE TV ที่ดำเนินรายการโดยสองหนุ่มสองสไตล์ หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มหล่อเนี้ยบ มาดกวน ผู้เป็นที่รู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในฐานะนักแสดงหนุ่มลูกครึ่งมาดกวนในหนังเรื่องดังอย่าง เพื่อนสนิท, สายลับจับบ้านเล็ก, ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้, ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ และล่าสุดใน Die Tomorrow อย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มเซอร์ มาดเท่ นั้นเป็นเพื่อนซี้ของซันนี่ ที่สนิทกันตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยอย่าง เคนจิ วันสว่าง บุญพิพัฒนาพงศ์ ทั้งสองร่วมเดินทางท่องเที่ยวด้วยคอนเซ็ปต์แปลกๆ อย่างการตามล่าหาพระอาทิตย์ไปรอบโลก ที่ตระเวนไปสุดขอบฟ้าเพื่อตามหาพระอาทิตย์ขึ้นและตกในหลายต่อหลายประเทศ ทั้ง ฝรั่งเศส, อังกฤษ, ไอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี ฯลฯ ด้วยสไตล์การเดินทางสบายๆ แบบไม่ซีเรียส และจังหวะการปล่อยความฮาๆ ที่รับส่งมุกกันอย่างลื่นใหลเป็นธรรมชาติ ทำให้เราติดตามการเดินทางของสองหนุ่มสองสไตล์สองคนนี้ได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ
เพื่อไม่ให้เป็ฯการเสียเวลา เรามาร่วมกันค้นหาว่า ชายหนุ่มสองคนนี้จะตามล่าหาพระอาทิตย์กันไปทำไม การเดินทางตามหาพระอาทิตย์ของเขามีรสชาติแบบไหน พระอาทิตย์ที่เขาไปเจอมีหน้าตายังไง และท้ายที่สุด เขาได้เจอกับพระอาทิตย์ที่ตัวเองค้นหาไหม? ไปพร้อมๆ กันเถอะ
สนใจชมรายการ The Sun Hunter ได้ที่นี่ https://tv.line.me/thesunhunter
…………………………………………………………………………
WURKON:
แรกเลย ซันนี่กับเคนจิมาเจอกันได้ยังไง
ซันนี่:
เจอกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยู่เอแบค (มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ) ตอนนั้นทรงผมจิเหมือนหนูแทะ เดินมาผอมๆ โย่งๆ เข้ามาบอก “เฮ้ยนาย เรามาสร้างโลกด้วยกันป่ะ?” (หัวเราะ)
เคนจิ: (หัวเราะ) ตอนนั้นซันนี่เตะบอลอยู่หน้าสนามบาส ไว้ผมหน้าม้าเต่อ เสื้อผ้าขาดๆ
ซันนี่:
เฮ้ยๆๆ ไม่ขาด (หัวเราะ) แต่งตัวโอเค้
เคนจิ:
แล้วก็มาทำละครเวทีคณะด้วยกัน เรื่อง โรมิโอและจูเลียต
ซันนี่:
จิเล่นเป็น (เบ็น)โวลิโอ ผมเป็น โรมิโอ แก๊งเดียวกัน
WURKON:
โรมิโอและจูเลียต สมัยใหม่ที่ใส่เสื้อฮาวาย ใช่ป่ะ
ซันนี่:
ใช่ๆ เอามาทำในเวอร์ชั่นละครเวที
เคนจิ:
มันไม่ใช่ละครเวทีซะทีเดียวน่ะ มันเป็นเหมือนโชว์ เน้นตลก ฮาๆ เหมือน ชิงร้อยชิงล้าน น่ะ
ซันนี่:
ใช่ๆ บ้าๆ บอๆ แบบออกมาเล่นมุกอะไรแบบนี้
เคนจิ:
เล่นกันแบบสดๆ เลย
ซันนี่:
และในเรื่อง จิชื่อ (เบ็น)โวลิโอ แล้วมีเพื่อนอีกคนชื่อ เต้ฮิว เล่นเป็น เมอร์คิวชิโอ เขาก็เรียก (เบ็น)โวลิโอ ว่า “จิ” จนจบโชว์ไปเลย (หัวเราะ) จิต้องแก้ทุกครั้งว่า “กูชื่อ (เบ็น)โวลิโอ”
WURKON:
อันนี้เป็นมุกใช่ไหม
ซันนี่:
ไม่ใช่! มันจำไม่ได้จริงๆ ! (หัวเราะ) มันบอก “เฮ้ย จิ”, จิบอก “กูชื่อ (เบ็น)โวลิโอ” (หัวเราะ)
WURKON:
เรียกว่ามาทางนี้กันตั้งแต่สมัยเรียนกันเลยใช่ไหม
ซันนี่:
ใช่ครับ มาทางไร้สาระ (หัวเราะ)
WURKON:
แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาทำงานด้วยกัน
ซันนี่:
ก็เหมือนแยกกันไปช่วงนึงนะ ไม่ได้เจอกัน
เคนจิ:
ซันนี่ไปเล่นดนตรีไง แล้วจิก็ไปทำงานประจำ ไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง
ซันนี่:
ต่อมาผมก็ไปเป็นนักแสดง สักพักก็กลับมาเจอกันอีก
WURKON:
กลับมาเจอกันได้ยังไง
เคนจิ:
ก็นัดไปเที่ยวกัน ไปต่างจังหวัด ไปโน่นไปนี่
ซันนี่:
หลังจากนั้นก็หุ้นกันทำยิมมวยไทย (พยัคฆินทร์มวยไทย) ด้วยกัน
เคนจิ:
ทำร้านอาหาร Animal Cafe ด้วยกัน
ซันนี่:
ก่อนหน้านั้นก็มีรายการที่เป็นพิธีกรด้วยกัน
เคนจิ:
นี่ก็เพิ่งเปิดร้านอาหารใหม่อีกร้านด้วยกัน
ซันนี่:
เฮ้ย! นี่ขายของเหรอ? ร้านอะไรวะ? อร่อยหรือป่าวเนี่ย? ชื่ออะไร? อยู่แถวไหน? (หัวเราะ)
เคนจิ:
เฮ้ย! อร่อยมาก ร้านตั้งใจดี ปูอบวุ้นเส้น อยู่ตลาดรถไฟรัชดา (หัวเราะ)
ซันนี่:
สุดยอด! (หัวเราะ)
WURKON:
มีเคมีอะไรที่เข้ากันเหรอ ถึงได้มาทำธุรกิจด้วยกัน
ซันนี่:
อืม จิเขามีคุณธรรมของเขาอยู่น่ะครับ ทำไมทำหน้าไม่เชื่อถืออย่างงั้นล่ะครับ (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่โอเค แล้วขยัน เขาจะทำทุกอย่าง เวลาเจออะไรแล้วเขาจะอยากจะลองทำไปหมด
เคนจิ:
คือมันเหมือนกับเราทำงานด้วยกันมา ช่วยกันมาแล้ว เขาช่วยเรา เราก็ดูแลธุรกิจให้เขาใช่ป่ะ เวลาทำอะไรใหม่ๆ เราก็ต้องไปบอกเขาก่อนว่า เฮ้ย มีอันนี้ จะทำไหม ก็ให้เขาตัดสินใจน่ะ
WURKON:
จะทำไหม! เวลาพูดมีกระชากคอเสื้อด้วยป่ะ
ซันนี่:
ไม่ใช่ละๆ นั่นบังคับละ! (หัวเราะ)
เคนจิ:
เวลาเราทำอะไรใหม่ๆ มีธุรกิจใหม่ๆ เราก็จะมาถามเขาก่อน เพราะว่าเราลงเรือลำเดียวกันมาหลายงานแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือเรามาหลายอย่าง
ซันนี่:
อีกสักพักก็ไปทำโน่นแล้ว เราก็ อ้าว ไม่เห็นชวนเลย อะไรอย่างนี้ มีงอน
เคนจิ:
เราก็จะมาถามก่อน จริงๆ ก็ไม่เคยไม่ชวนนะ
WURKON:
แล้วมาทำรายการด้วยกันได้ยังไง
ซันนี่:
ก่อนหน้านั้นผมเคยทำหนังสั้น กำกับหนังสั้น ก็จะเอาเพื่อนๆ ไปเล่น แล้วก็มีจิอยู่ในนั้นด้วย (ภาพยนตร์สั้น "หลักสูตรโตไปไม่โกง" ตอน ระหว่างทาง) ก็เป็นเพื่อนในแก๊งเดียวกัน มีสี่คนครับ
เคนจิ:
เขาเรียก หรั่งโมเดลลิ่ง (หรั่ง เป็นชื่อเล่นของซันนี่)
ซันนี่:
คือ เราจะเปิดโมเดลลิ่งให้เพื่อนๆ มาเล่น เวลามีหนังอะไรเราก็จะส่งเพื่อนๆ ไป
เคนจิ:
เวลามีโฆษณาเราก็จะเป็น เอ็กซ์ตร้ามาเฟีย ยืนอยู่หน้ากล้อง (หัวเราะ)
WURKON:
แล้วประสบความสำเร็จไหม หรั่งโมเดลลิ่ง เนี่ย
ซันนี่:
ก็แล้วแต่อนาคตของแต่ละคนครับ (หัวเราะ) บางคนก็โดนตัดออกบ้าง บางคนก็ได้เล่นบ้างอะไรบ้าง
เคนจิ:
นายแบบ นางแบบ บางคนที่ถูกจ้างมาเป็น Extra (ตัวประกอบที่ไม่มีบทพูด) หน้าตาดีมากๆ ก็จะ
ถูกมาเฟียบดบัง เขาก็จะย้ายไปอยู่ไกลๆ
ซันนี่:
แก๊งนี่จะอยู่หน้าตลอดในโฆษณา (หัวเราะ)
WURKON:
พูดง่ายๆ ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่?
ซันนี่:
(หัวเราะ) ม่ายช่ายย! ผู้กำกับเขาโอเค ไม่งั้นเขาก็คงไม่ย้ายให้หรอก(หัวเราะ) เขาชอบแหละ
WURKON:
แล้วเอาเพื่อนมาเล่นนี่ เราเห็นแววอะไรในตัวเพื่อนๆ เหรอ
ซันนี่:
ก็แต่ละคนจะมีความน่าสนใจในตัวเขา แต่คนจะไม่รู้ไง บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้ยังไง เหมือนใช้คนไม่ถูกต้องในหน้าที่ของเขา บางคนก็จะมีความโดดเด่นเฉพาะตัวของเขา
เคนจิ:
ซันนี่เป็นคนจำบทพูดได้หมด ว่าเพื่อนจะพูดอะไร อย่างอยู่ในสถานการณ์นี้ เพื่อนคนนี้จะพูดอะไรออกมา
ซันนี่:
ถ้าเป็นไอ้นี่นะ จะทำอย่างนี้ชัวร์ เราก็เลยจะแนะนำได้ อย่างตอนที่เขียนบทหนัง โตไปไม่โกง พอทุกคนอ่านก็บอก เออ เราพูดจากันอย่างนี้จริงๆ (หัวเราะ)
WURKON:
เขียนบทจากคาแรคเตอร์ของเพื่อนจริงๆ
ซันนี่:
ใช่
WURKON:
แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาทำรายการท่องเที่ยว
ซันนี่:
ก็ จะมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า บอล รชิต หรือ รชิต งุ้ม เขาทำสายโปรดักชั่นอยู่แล้ว และเขามีความคิดว่าเขาอยากไปดูพระอาทิตย์ทั่วโลก ทำรายการเกี่ยวกับพระอาทิตย์ เพราะบริษัทเขาชื่อว่า บ้านแสงเช้า แล้วเราก็รู้สึกว่าแสงมันสวยดีเวลาอยู่ในกล้อง ก็เลยอยากจะทำรายการขึ้นมาสักรายการเกี่ยวกับเรื่องนี้
เคนจิ:
เขาชื่อ ซันนี่ แล้วเราก็ชื่อ วันสว่าง
WURKON:
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น หรือนี่จะเป็นพรหมลิขิตกันแน่
ซันนี่:
ใช่ๆ (หัวเราะ) เราก็เลยมาทำงานด้วยกัน
เคนจิ:
โปรดิวเซอร์อีกคน ชื่อ เอกลักษณ์ ก็แปลว่า พระอาทิตย์
ซันนี่:
ไม่ใช่ละ! ไม่ได้แปลว่า พระอาทิตย์ เอกลักษณ์ ก็คือ เอกลักษณ์! (หัวเราะ)
WURKON:
พระอาทิตย์ในประเทศไทยมันก็มีไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องถ่อไปดูถึงต่างประเทศ
เคนจิ:
มันเป็นเป้าหมายไง พระอาทิตย์คือเป้าหมาย แต่ความหมายของการเดินทาง มันคือ ระหว่างทาง และรสชาติของมัน
ซันนี่:
จริงๆ มันก็ไม่เหมือนนะ พอเราไปดูอีกที่หนึ่ง เราก็มีความรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะปกติเราไม่ได้ใส่ใจพระอาทิตย์ด้วยซ้ำ โอ้ย เห็นขึ้นๆ ลงๆ แต่จริงๆ พระอาทิตย์มันเปรียบได้กับทุกอย่าง ทั้งการเริ่มใหม่ การตกลง หรือว่าความสวยงามของมันในเวลาไหน จะโผล่ หรือไม่โผล่ มันเหมือนแบบ
เคนจิ:
สถาบันครอบครัวก็เหมือนกัน เหมือนมันอยู่ใกล้มาก เราก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจ พอเรามาออกมา
โฟกัสแล้วเราก็จะรู้ว่ามันมีความสำคัญ ก็เหมือนพระอาทิตย์น่ะ เราไม่เคยให้ความสนใจ เราเห็นทุกวัน แต่พอเรามาให้ความสนใจ เราก็จะรู้สึกว่า โอ้โห! มันเจ๋งหว่ะ มันสวยงาม มันเป็นเป้าหมายของเรา
WURKON:
มองเห็นความพิเศษในเรื่องปกติธรรมดา
ซันนี่:
ใช่ครับ มันหลายๆ อย่าง อย่างเช่น พระอาทิตย์เนี่ย จริงๆ มันเป็นสิ่งสวยงาม ถ้าให้คนไปนั่งดู ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากจะดูนะ แต่ถ้าให้เขาไปนั่งดู จริงๆ เขาจะนั่งดูได้เป็นชั่วโมง เอ็นจอยกับโมเม้นต์นั้นได้เป็นชั่วโมง
เคนจิ:
แล้วแต่ละวัน พระอาทิตย์ขึ้นตกที่เดียวกัน บรรยากาศการดูในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน
WURKON:
ตามล่าแล้วเจอไหม พระอาทิตย์ เนี่ย
ซันนี่:
เจอบ้างไม่เจอบ้าง การถ่ายรายการของเราคือ เราจะไม่อยู่ที่เดิมเพื่อรอ แต่จะเดินทางไปเรื่อยๆ ภารกิจของเราคือการตามล่าหาพระอาทิตย์
เคนจิ:
การไม่เจอก็คือประสบการณ์ที่ดีนะ มันก็เป็นรสชาติอีกอย่าง เหมือนกับผิดหวังมาสามวัน พอวันที่สี่ประสบความสำเร็จ มันก็ทำให้วันนั้นสวยงามขึ้น ดูดีขึ้น ทำให้คุ้มเหลือเกินที่ได้มาเจอ ได้มาเห็น แต่ถ้าเราเห็นทุกวัน มันก็จะเป็นเรื่องธรรมดา มันก็อาจจะมีรสชาติหลากหลายกันไป แต่ถ้าเรามีอุปสรรคบ้าง ฝนตก เมฆบัง ของหาย...
WURKON:
กล้องถูกขโมยบ้าง อะไรอย่างนี้
เคนจิ:
(หัวเราะ) เออ นั่นแหละ พอเราได้เห็นออกมาเป็นรูปภาพ เป็นวีดีโอ เรามองย้อนกลับไปมันสวยงาม อุปสรรคมันทำให้ชีวิตสวยงามขึ้น
ซันนี่:
มันเหมือนเป้าหมายเราอยู่ตอนนั้น จะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม มันเทียบกับการทำงานได้เหมือนกัน เราตั้งใจจะทำสิ่งนี้ในทุกๆ วัน เรารู้ว่าผลลัพธ์มันอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าวันนี้เราเจอพระอาทิตย์สวยงามเป็นดวงหรือเปล่า มันก็ไม่ต่าง เพราะเรารู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น
WURKON:
เวลาเดินทางนี่เลือกสถานที่กันยังไง
ซันนี่:
ซีซั่นแรกนี่เราอยากจะเริ่มต้นที่ยุโรปก่อน เราเลือกที่ฝรั่งเศสเพราะว่าคุณแม่ผมเป็นคนฝรั่งเศส ก็เลยเลือกที่นั่น
เคนจิ:
แต่จริงๆ พอไปถึงแล้วก็ไม่ใช่
ซันนี่:
เพราะว่า แม่ไม่ได้เกิดเมืองนั้น (หัวเราะกันลั่น) เราไปผิดเมือง เราดันไม่ถามก่อนไง (หัวเราะ) เรารู้แค่ว่า เราได้ยินมาว่าแม่เกิดเมืองนั้น
เคนจิ:
เมืองมาร์กเซย (Marseille)
ซันนี่:
แต่แม่เกิดที่เมือง แอ็กซ์ ออง โพรวองซ์ (Aix-en-Provence) ใกล้ๆ เมืองมาร์กเซย แต่เราไม่ผ่าน อ้าว งั้นก็ไม่ต้องมาฝรั่งเศสก็ได้นี่หว่า (หัวเราะกันลั่น)
WURKON:
แล้วรู้ได้ยังไงว่าแม่เกิดอีกที่นึง
ซันนี่:
โทรไปถามครับ โทรไปตอนที่อยู่ที่นั่น “ถึง มาร์กเซย แล้ว บ้านเกิดแม่” แม่บอก “เปล่า ไม่ได้อยู่เมืองนั้นเลย” (หัวเราะร่วน) ก็ตลกดี พูดออกในรายการตรงนั้นเลย (หัวเราะ)
WURKON:
นี่คือลักษณะในการทำงานเลยใช่ไหม
ซันนี่:
ใช่ครับ คือมันเป็นรายการท่องเที่ยวที่มีเป้าหมาย คือ พระอาทิตย์ แต่ระหว่างนั้นเราก็ท่องเที่ยวไปเรื่อย แต่เราไม่อยากจะบอกคนว่า มาดูนี่นะครับ ที่นี่มีอะไรบ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องมาเจอเอง เราแค่พาไปรู้คร่าวๆ ว่าแผนมันเป็นยังไง การเดินทางเป็นยังไง ที่เหลือเขาต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง
WURKON:
ลักษณะการเดินทางก็จะเลยออกแนวด้นสด
ซันนี่:
ใช่ครับ เป็น Road Trip ด้วย ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไม่มีแบบว่า รอที่นี่สี่วัน แล้วค่อยย้ายเมือง เราย้ายทุกวัน
WURKON:
ไม่ได้วางแผนว่าจะต้องไปเจออะไร ไปดูอะไร ไปเจอเลย
ซันนี่:
ใช่ๆ รู้ว่าอันนี้สวยแหละ อยากผ่านอันนี้ แต่ถ้าผ่านอย่างอื่นด้วยก็ได้
WURKON:
พูดง่ายๆ คือ ไปตายเอาดาบหน้า ใช่ไหม
ซันนี่:
ช่าย (หัวเราะ) เราเลยมีช่วงนึง คือช่วง “จุกดีกว่าหิว” ขึ้นมา
WURKON:
คืออะไร?
ซันนี่:
ก็คือว่าการที่ จุก มันดีกว่า หิว อยู่แล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรกินหรือปล่าว อัดไว้ก่อน เอาให้อิ่มจนจุกไว้ก่อน เอาจนกินไม่ไหวน่ะ เพราะเราอาจจะไปอดอยากตายข้างหน้าก็ได้ (หัวเราะ)
เคนจิ:
ข้างหน้าอาหารอาจจะห่วยมาก
ซันนี่:
เราก็เลยมีช่วงนี้ขึ้นมา “จุกดีกว่าหิว” (หัวเราะ) เวลาเราเจออะไรที่อร่อยเราก็อัดไว้ก่อน เผื่อข้างหน้าไม่มี
เคนจิ:
ทริปล่าสุดรู้เลย
ซันนี่:
ใช่ ไปตุรกี ก็รู้เลยว่า จุกดีกว่าหิว เพราะฉะนั้น ถ้าเจอมื้อไหนอร่อยแล้วเนี่ย ก็กินเข้าไป! อย่าหยุด! กินให้เรียบ! กินให้เกลี้ยง!
เคนจิ:
แบบเลียจาน! เลียพื้น! เลียประตู!
ซันนี่:
มีอะไรก็กินเข้าไป! แทะกินให้หมด! (หัวเราะ) เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรให้เราได้กินอีกหรือเปล่า
เคนจิ:
บางทีอาหารโรงแรมห้าดาวมา กินไม่ได้เลย เพราะมันคนละประเทศไง เขาอาจจะชอบแบบนั้น
ซันนี่:
แต่เราไม่เอา! (หัวเราะกันร่วน)
WURKON:
ไม่คิดจะลองดูบ้างเหรอ
ซันนี่:
ลองแล้วววว มันไม่ไหว กินไม่ได้เลย (หัวเราะ) ผมลองหมดแหละ แต่แว่.... กินไม่ได้ พยายามแล่ว (หัวเราะ)
WURKON:
เวลาเราเดินทางนี่ได้งบประมาณมาจากไหน
ซันนี่:
งบประมาณทีมงานแหละ เราไม่ได้แบบ ต้องมีตังค์เท่านี้ เพื่อไปทำภารกิจ เราก็ไปกัน เพราะทุกคนเป็น HUNTER เหมือนกันหมด ที่ไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่เราสองคน พวกทีมกล้อง ทีมโปรดิวเซอร์ ทุกคนเป็น HUNTER เหมือนกัน เราก็ไปด้วยกัน
WURKON:
ใครเป็นสปอนเซอร์ให้
ซันนี่:
ทาง LINE TV เป็นสปอนเซอร์หลักครับ เหมือนเขาจ้างผลิต
WURKON:
ก็ดีนะ เหมือนมีคนจ้างให้ไปเที่ยว
ซันนี่:
ม่ายยย จ้างเราตามล่าพระอาทิตย์ ไม่ได้จ้างเที่ยว เราไม่ได้เที่ยวเล้ย โอ้ย! เราทำงาน เหงื่อท่วมตัว ไม่ได้ช้อปปิ้งเล้ยยย (หัวเราะกันร่วน)
WURKON:
รายการท่องเที่ยวโดยทั่วไป ก็จะเป็นในลักษณะไปดูสถานที่ยอดฮิต ไปดูแลนด์มาร์คของเมือง โน่น นี่ นั่น แต่รายการนี้ไม่ใช่
ซันนี่:
ก็จะมีบ้าง เวลาผ่านไป เราก็เข้าไป แต่ส่วนมากเราก็จะไม่ได้บอกรายละเอียด แต่เราจะล้อเล่น ล้อเลียนกับทางทีมงาน
เคนจิ:
ส่วนใหญ่จะไปเล่นมุก ไปยิงมุกกันเองมากกว่า แต่ก็จะมีบอกให้ดูที่สวยๆ งามๆ ว่าอยู่จุดไหน หรือดูพระอาทิตย์ตรงไหน
ซันนี่:
หรืออย่าง มีเรื่องเล่าแบบว่า สมัยก่อนนะมีหินสองก้อน เพราะว่ามีคู่รักคู่หนึ่งรักกัน
เคนจิ:
แต่พ่อแม่ผู้หญิงกีดกัน เพราะผู้ชายจน ผู้หญิงก็เลยหนีไปอยู่กับผู้ชาย
ซันนี่:
พ่อแม่ไม่ยอม ก็ตามมาเอาทหารมาฆ่า เขาก็เลยสวดมนต์ขอพระเจ้า “ช่วยหน่อย ขอให้หนีไปได้ อย่าให้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย” พระเจ้าเลยสาปให้เป็นหินหมดเลยทั้งผู้หญิง ผู้ชาย พ่อ แม่ เราฟังแล้วเราจะรู้สึกยังไง ไม่ต้องมายุ่ง! ถ้าจะทำแบบนี้ (หัวเราะ) เอ้า! แก้ปัญหาให้ซี่! จะมาสาปกูทำไม! (หัวเราะ)
เคนจิ:
ไปไหนก็ปายย! (หัวเราะ)
ซันนี่:
เราก็จะเล่นอะไรแบบนี้กัน (หัวเราะ)
เคนจิ:
เหมือนในแต่ละเมืองก็จะมีตำนาน เป็นเรื่องจริงบ้าง เป็นเรื่องแต่งบ้าง เราก็จะเอามาพูดคุย อย่างไอร์แลนด์ กับ สก็อตแลนด์ มียักษ์จะมาสู้กัน แต่ยักษ์สก็อตแลนด์ตัวใหญ่กว่ามาก แต่ยักษ์ไอร์แลนด์ก็เลยหนีมาบอกเมีย เมียเลยออกอุบายให้เอาผ้ามาห่อตัวให้เหมือนเป็นเด็กทารก แต่ยักษ์สก็อตแลนด์มาเห็นก็เลยตกใจ วิ่งหนี
ซันนี่:
ทารกยังตัวใหญ่ขนาดนี้...
เคนจิ:
แล้วพ่อมันจะใหญ่ขนาดไหน ก็เลยวิ่งหนี แล้วทำลายทางที่เชื่อมกันทิ้งหมดเลย
ซันนี่:
ก็เลยบอกว่า ไอ้ยักษ์นี้มันชื่อ ไอ้บื้อ หรือเปล่าวะ? (หัวเราะ) เราก็เลยไปดูถูกตำนานเขา ม่ายช่ายย ก็เขาสร้างขึ้นมาให้คนสนใจไง
เคนจิ:
เขาอาจจะสร้างเรื่องมาเพื่อให้คนไปท่องเที่ยวอะไรแบบนั้น
WURKON:
เราก็เลยมองในแง่มุมที่ย้อนแย้ง?
ซันนี่:
เออ เราก็อยากรู้ ถ้าตามหลักเหตุผลแล้ว เขาก็ไม่ผิดหรอก แต่เราก็อยากลองเสนอไอเดียดู ทำไมไม่ทำอย่างนี้วะ ให้มันกลายเป็นมุกตลก คนดูจะได้ไม่ซีเรียส
เคนจิ:
อย่างตำนานเทพเจ้ายุโรป จริงๆ แล้วนิสัยไม่ดีหมดเลย แบบซุสไปขืนใจแม่ของอาเธน่า แล้วกินแม่ของอาเธน่าเข้าไป แล้วก็ออกลูกมาทางหน้าผากเป็นอาเธน่า อาเธน่าก็นิสัยไม่ดี เมดูซ่าโดนโพไซดอนข่มขืน อาเธน่าก็ดันไปสาปเมดูซ่าให้หัวเป็นงู แล้วเอเธน่าก็ดันส่งเพอร์ซิอุสให้ไปตัดหัวเขาอีก เอ้า เป็นคนยังไงกัน! อ้อ เป็นเทพยังไงกัน! (หัวเราะ) นิสัยไม่ดี๊!
ซันนี่:
เมดูซ่าเขาทำผิดอะไร้! (หัวเราะ)
WURKON:
มุกที่เล่นในรายการนี่คิดกันสดๆ เลยใช่ไหม
ซันนี่:
ใช่ แล้วแต่ว่าสถานการณ์คืออะไร เราก็คิดขึ้นมา ผมเชื่อว่ามันไม่มีคำว่า แป๊ก หรือว่าอะไรบนโลกใบนี้หรอก เราเล่นไปเหอะ มันคือความสนุกสนานไงครับ
เคนจิ:
มันแล้วแต่คนไง ว่าคนนี้ไม่ชอบ อีกคนอาจจะชอบก็ได้
WURKON:
แบบ ยิงรัวๆ เหมือน จุกดีกว่าหิว ใช่ป่ะ
ซันนี่:
ใช่ ยิงไปก่อน รู้สึกว่าอะไรมันไร้สาระ เราเล่นไปก่อน (หัวเราะ)
เคนจิ:
อย่างเราไปเจอคนท้องที่เขาเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง เราก็พูดคุยถึงเรื่องนั้นๆ ว่าเป็นอย่างงี้เหรอ? ทำไมมันเป็นอย่างงี้ล่ะ?
ซันนี่:
เราไปโดยไม่รู้อะไร ก็เหมือนเป็นตัวแทนคนดู ว่า เฮ้ย มันมีสิ่งๆ นี้เกิดขึ้นที่นี่
เคนจิ:
เหมือนไปอังกฤษ ไปเจอแม่น้ำที่เขาบอกว่า เป็นที่เลี้ยงปลาเทราต์ แล้วปลาเทราต์คืออะไร?
ซันนี่:
หน้าตามันเป็นยังไงวะ? ไม่รู้เลย!
เคนจิ:
เหมือนหัวไชเท้าหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)
WURKON:
มีไหม เวลาเราไปสถานที่ที่เข้าห้ามเข้า แต่เราแอบเข้าไปถ่าย
ซันนี่:
ไม่นะ เราจะเคารพกฏ ไปถึงแล้ว อ้าว เขาไม่ให้ถ่าย เราก็จะออกมาเม้าธ์ว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำไมต้องไม่ให้ถ่ายด้วย กูเกิ้ลเอาข้างในก็เหมือนในรูปที่เสิร์ช ถ้ามันแบบเป็นสิ่งลี้ลับไม่มีใครเคยเห็นเลย เอ้า! ก็เข้าใจได้ แต่นี่กูเกิ้ลเอาก็เจอ แล้วจะมาห้ามไม้ให้ถ่ายไปทำไม ใช่ไหม? มันเป็นแบบนั้น (หัวเราะ)
เคนจิ:
แต่ว่ามันมีที่ที่ไปแล้วมันไม่เปิด อย่าง พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เนี่ย เราจะไปดูภาพ โมนาลิซ่า ไปแล้วมันปิด ไปถ่ายบ้านเชคสเปียร์ มันก็ปิด
ซันนี่:
เออ Sun Hunter ไปไหนแล้วชอบปิด (หัวเราะ)
WURKON:
ไม่เสียดายเหรอ ไปแล้วไม่ได้ดู ไม่เสียเที่ยวเหรอ
ซันนี่:
มันก็เป็นประสบการณ์ของเราน่ะครับ ก็โชคชะตาเราเป็นแบบนั้น เพราะสิ่งที่เราตามล่ามันคือพระอาทิตย์ ไม่ใช่สิ่งพวกนี้
WURKON:
เพราะว่ารายการอื่นเขาไปเขาต้องไปให้ถึงที่ ต้องเข้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ไปดูภาพโมนาลิซ่า ต้องไปดูบ้านเชคสเปียร์
ซันนี่:
ใช่ครับ สิ่งที่เราบอกได้คือ อย่ามาวันนี้ อย่ามาเวลานี้
WURKON:
จำเอาไว้ซะ?
ซันนี่:
ใช่ จำเอาไว้ซะว่าวันอังคารเขาปิด (หัวเราะกันร่วน)
WURKON:
แล้วทำไมไม่ดูวันเวลาเขาเล่า!
ซันนี่:
ไม่ดู๊ ผมไม่รู้ว่าเราจะเจอสิ่งนี้ (หัวเราะ)
เคนจิ:
สภาพอากาศบางทีก็เกี่ยว บางทีเราจะไปข้ามหน้าผาด้วยสะพานเชือก
ซันนี่:
เขาบอกว่าต้องมาเลยที่นี่ ใครไม่มา ถือว่ามาไม่ถึง
เคนจิ:
เราไปปุ๊บ ลมพัดสะพานหมุนฟิ้วๆๆ เลย
ซันนี่:
อ่ะ จะขึ้นยังไงล่ะ?
เคนจิ:
เขาก็ไม่ให้เราเข้า เขาไม่ให้เราข้าม เพราะกลัวเราเด๊ด
WURKON:
ก็เลยไปไม่ถึง
ซันนี่:
ใช่ แต่เรางงกับคำว่าไปไม่ถึงมาก คนชอบบอกว่า นี่นะ ถ้าไม่ได้กินอันนี้แสดงว่ามาไม่ถึงอังกฤษ ก็กูอยู่อังกฤษ! ก็ประทับตราพาสปอร์ตว่าเราเข้ามาในอังกฤษ ก็เนี่ย อังกฤษ กูมาแล้ว! มาบอกว่าไม่ถึงได้ยังไง! ไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้วหลอกว่ามาเมืองนอก! (หัวเราะ)
WURKON:
เราก็เลยไม่รอ
ซันนี่:
ใช่ครับ เราไม่เคยรออะไรเลย อ๋อ แต่ล่าสุดก็มีรอขึ้นบอลลูน เพราะเราอยากเห็นพระอาทิตย์จากบนบอลลูน
เคนจิ:
แต่ว่าสภาพอากาศไม่ดี เขาเลยไม่ให้ขึ้น คือเราอยากเห็นบรรยากาศพระอาทิตย์กับบอลลูนเป็นหลายร้อยๆ ลูก ก็รอสามวัน วันที่สี่เขาบอกว่าขึ้นได้ ตื่นตีสี่ ไปถึงที่โน่นตีห้า ทีมงานบอกเฮ้ย ขึ้นได้ชัวร์ เห็นไหม ต้นไม้นิ่ง ลมไม่พัดเลย แสดงว่าวันนี้เราได้ขึ้นแน่ๆ ถึงเวลาปั๊บ ขึ้นไม่ได้ ก็เลยย้ายที่ สรุป กลายเป็นว่าไปเจออย่างอื่นสวยกว่าตั้งเยอะ กูจะมารอทำไม? (หัวเราะ)
ซันนี่:
ใช่มะ ไปรอทำไมตั้งนาน!
WURKON:
คืออันนี้เป็นลักษณะของเราใช่ไหม ไม่จำเป็นต้องไปตามคนอื่น
ซันนี่:
ใช่ คือถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิตน่ะ
เคนจิ :
สิ่งที่เราในรูปภาพกับสถานการณ์จริงๆ มันไม่เหมือนกัน ในรูปภาพบางทีมันอาจจะแบบ โห สุดยอดไปเลย แต่ว่าพอเราอยู่ในจุดนั้นมันอาจจะธรรมดาก็ได้ แต่อีกที่นึงอาจจะดีกว่ามากๆ แต่ว่าภาพถ่ายออกมาอาจจะไม่สวยก็ได้
ซันนี่:
ใช่ เราต้องมาเองมา สัมผัสมันเอง เป็นประสบการณ์ของชีวิต
…………………………………………………………………………
โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพถ่ายโดย อักษร สุดเสนาะ
ขอบคุณภาพจากเพจ The Sun Hunter
#WURKON #thesunhunter #ซันนี่สุวรรณเมธานนท์ #วันสว่างบุญพิพัฒนาพงศ์ #LINETV #รายการท่องเที่ยว #ตามหาพระอาทิตย์ #แรงบันดาลใจ #การเดินทาง
สัมผัสนวัตกรรมอันล้ำสมัยและแรงบันดาลใจจากความคิดสร้างสรรค์แห่งการออกแบบวิถีชีวิตการทำงานยุคใหม่ได้ที่ WURKON ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่สำนักงานและพื้นที่สาธารณะสมัยใหม่ www.wurkon.com
สามารถติดตามข่าวสารทุกวันได้ที่ : www.facebook.com/WURKON
Tel : 02-005-3550 Fax : 02-005-2557
Official Line : @wurkon / Twitter : @wurkon / Follow Instagram : @wurkon
*** สำหรับแฟนๆ และผู้ติดตามเพจ WURKON เพื่อไม่ให้พลาดข้อมูลข่าวสาร ความรู้และความบันเทิงจากเพจของเราในทุกๆ วัน คุณสามารถตั้งค่าให้เห็นคอนเทนต์ของเราบน News Feed ได้อย่างง่ายๆ ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เข้ามาที่เพจ WURKON
2. คลิกที่ปุ่ม Following (กำลังติดตาม) หรือ Liked (ถูกใจแล้ว) ด้านบนของเพจ WURKON
3. เลื่อนไปที่ See First (เห็นโพสต์ก่อน) แล้วคลิกเลือก
ง่ายๆ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ แล้วท่านจะไม่พลาดเรื่องราวที่น่าสนใจจากเราอีกต่อไป