คอสตาริกา สวิตเซอร์แลนด์แห่งลาตินอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
ธงชาติของคอสตาริกามีสีธงชาติคล้ายคลึงกับธงชาติไทย แค่สลับตำแหน่งของสี
นอกจากเรื่องธงชาติแล้ว ประเทศนี้ยังอยู่ในภูมิภาคที่เป็นเขตร้อนเหมือนกับประเทศไทย มีพืชพรรณธรรมชาติคล้ายๆ กัน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน
ถึงแม้จะมีธงชาติและทำเลที่ตั้งคล้ายกับประเทศไทย แต่คอสตาริกาได้รับฉายาว่า
“สวิตเซอร์แลนด์แห่งลาตินอเมริกา”
ทำไมต้องสวิตเซอร์แลนด์แห่งลาตินอเมริกา
และอะไรบ้างที่คอสตาริกาแตกต่างจากประเทศไทย?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คอสตาริกา เป็นชื่อที่มาจากภาษาสเปน ที่แปลว่า “ชายฝั่งที่ร่ำรวย”
ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นอาณานิคมของสเปนมาก่อน จึงทำให้ประชากร 5 ล้านคน ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ
ประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 1 ใน 10 ของประเทศไทยแห่งนี้ได้รับฉายาว่า
“สวิตเซอร์แลนด์แห่งลาตินอเมริกา”
ด้วยความที่คอสตาริกามีความคล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์อยู่หลายประการ
ทั้งภูมิประเทศ เสถียรภาพทางการเมือง และสินค้าส่งออก
เริ่มจากภูมิประเทศ คอสตาริกามีแนวเทือกเขาพาดผ่านจากทิศเหนือสู่ทิศใต้
จึงทำให้ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของประเทศนี้เป็นภูเขา แตกต่างจากสวิตเซอร์แลนด์ตรงที่ภูเขาของคอสตาริกาส่วนใหญ่เป็นภูเขาไฟ และหลายแห่งยังคงคุกรุ่นอยู่
ทำเลที่ตั้งของคอสตาริกาอยู่บริเวณคอคอดเล็กๆ ของภูมิภาคอเมริกากลาง ไม่ไกลจากเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นคอคอดที่เชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับอเมริกาใต้
ทั้งประเทศจึงตั้งอยู่ในภูมิอากาศแบบป่าฝนเขตร้อน
เมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีภูมิอากาศอยู่ในเขตร้อน และมีดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์
ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของคอสตาริกาก็คือ “กาแฟ”
ปี 2019 คอสตาริกาส่งออกกาแฟเป็นมูลค่า 8,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1% ของผลผลิตกาแฟโลก ถึงแม้จะเป็นสัดส่วนน้อย แต่กาแฟของคอสตาริกามีรสสัมผัสและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ และจัดได้ว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
กาแฟทั้งหมดล้วนเป็นสายพันธุ์อะราบิกา เพราะตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสตา ที่มีกลิ่นและรสไม่ดีเท่า เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าส่งออก
คอสตาริกาจึงมีนโยบายให้การสนับสนุนผู้ผลิตกาแฟรายย่อย ทั้งการสร้างสถานีล้างเมล็ดกาแฟขนาดเล็ก เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถจัดการผลผลิตได้อย่างเป็นระบบ มีอิสระ และแปรรูปเมล็ดกาแฟได้หลากหลาย
นอกจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขา อีกสิ่งหนึ่งที่คอสตาริกาคล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์ก็คือ
ความมีเสถียรภาพทางการเมือง
รู้หรือไม่ว่า ประเทศที่มีประชากร 5 ล้านคนแห่งนี้ ไม่มีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และโลกเข้าสู่ช่วงสงครามเย็น ในปี ค.ศ. 1949
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ที่ทำให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอเมริกากลาง เช่น ฮอนดูรัส นิการากัว และเอลซัลวาดอร์ ต่างเพิ่มงบประมาณด้านการทหารอย่างมหาศาล
แต่คอสตาริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี Óscar Arias Sánchez ได้ตัดสินใจว่า ควรนำงบประมาณที่ใช้ด้านการทหาร มาใช้ในการพัฒนาการศึกษาและระบบสาธารณสุขของประเทศมากกว่า
คอสตาริกาจึงประกาศยกเลิกกองกำลังทหาร และใช้วิธีทางการทูตในการป้องกันประเทศแทน
ทั้งการผูกความปลอดภัยทางการทหารไว้กับกองทัพสหรัฐฯ และเจรจาทางการทูตกับหลากหลายประเทศทั้งฝั่งโลกเสรีและฝั่งคอมมิวนิสต์
ซึ่งการตัดสินใจทำแบบนี้ กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ
เพราะในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอเมริกากลาง ต่างวุ่นวายอยู่กับปัญหาสงครามกลางเมือง คอร์รัปชัน และการแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพ
แต่คอสตาริกากลับไม่มีปัญหาเหล่านั้นเลยตลอดเวลาเกือบ 70 ปี
เป็นประเทศสงบสุข มีเสถียรภาพทางการเมือง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่โปร่งใส
และมีปัญหาคอร์รัปชันต่ำที่สุดในภูมิภาค
นอกจากภูเขาและความสงบสุขแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์ คือ สินค้าส่งออก
โดยสินค้าส่งออกสำคัญของคอสตาริกาคือ เครื่องมือแพทย์และยารักษาโรค
เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพกว่าประเทศในอเมริกากลาง คอสตาริกาจึงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
คอสตาริกาวางนโยบายเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์การแพทย์และยารักษาโรค
ด้วยการทุ่มเทพัฒนาการศึกษามานาน ทำให้มีแรงงานที่มีทักษะสูง
จึงดึงดูดบริษัทอุปกรณ์การแพทย์และบริษัทยาชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ทั้ง Baxter Healthcare
และ Abbott Laboratories ให้มาตั้งโรงงานใกล้กับเขตเมืองหลวงคือกรุงซันโฮเซ
ปี 2019 เครื่องมือแพทย์เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของคอสตาริกา
คิดเป็นมูลค่า 111,000 ล้านบาท และเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
ความสงบสุขของประเทศยังทำให้คอสตาริกาดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากถึง 3 ล้านคนต่อปี
และสร้างรายได้ไม่แพ้การส่งออกเครื่องมือแพทย์ โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ ป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ ชายหาด ภูเขาไฟ และไร่กาแฟ
ด้วยภาคเศรษฐกิจที่หลากหลาย ทำให้ GDP ต่อหัวของชาวคอสตาริกาใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศรายได้สูง ในปี 2019 ชาวคอสตาริกา มี GDP ต่อหัวคนละ 367,000 บาทต่อปี
ถึงแม้ GDP ต่อหัวจะห่างจากสวิตเซอร์แลนด์อยู่หลายเท่าตัว แต่ก็จัดได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา และมากกว่าประเทศไทยประมาณ 1.6 เท่า
นอกจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว คอสตาริกายังเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
พื้นที่กว่า 26% ของประเทศ จัดเป็นเขตอนุรักษ์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ป่าฝนของคอสตาริกาเพิ่มขึ้นมา 2 เท่า นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980s
คอสตาริกายังใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100% ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยอาศัยความได้เปรียบจากภูมิประเทศ ทั้งพลังงานน้ำที่ได้จากเขตภูเขา
พลังงานความร้อนใต้พิภพจากเขตภูเขาไฟ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจากเขตร้อนชื้น
โดยเป้าหมายสูงสุดของคอสตาริกา คือการเป็นประเทศที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จากกิจกรรมใดๆ เลย หรือ Carbon Neutral ภายในปี ค.ศ. 2050
ในรายงาน World Happiness Report ขององค์การสหประชาชาติ ในปี 2019
มีการจัดอันดับประเทศทั่วโลกจากความสุข ซึ่งวัดจากหลายปัจจัย ทั้ง GDP ต่อหัว
เสถียรภาพทางการเมือง เสรีภาพของประชาชน และอัตราการคอร์รัปชัน
คอสตาริกาอยู่อันดับที่ 12 ของโลก
และเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่ติดอันดับ Top 20
ถึงแม้ความสุขจะเป็นนามธรรม อธิบายด้วยถ้อยคำได้ยาก และยิ่งยากหากจะวัดเป็นตัวเลข
แต่จากบทความที่กล่าวมาทั้งหมด คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะกล่าวว่า
ชาวคอสตาริกามีความสุขเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
หากจะหาคำนิยามว่า “ความสุข” คืออะไร?
สำหรับชาวคอสตาริกา อาจเป็นการหา “จุดสมดุล” ที่หลอมรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความสงบของบ้านเมือง และความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน
และยืนอยู่ตรงจุดนั้นได้อย่างพอดี..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-http://faculty.nps.edu/relooney/Success-CostaRica.pdf
-http://www.worldstopexports.com/costa-ricas-top-10-exports/
-https://s3.amazonaws.com/happiness-report/2019/WHR19.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=CR-TH
-https://www.weforum.org/agenda/2019/06/costa-rica-has-doubled-its-tropical-rainforests-in-just-a-few-decades-here-s-how
「สินค้าส่งออก」的推薦目錄:
- 關於สินค้าส่งออก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於สินค้าส่งออก 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最佳貼文
- 關於สินค้าส่งออก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於สินค้าส่งออก 在 ผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้าส่งออกของไทย ที่กำลังเติบโต - YouTube 的評價
- 關於สินค้าส่งออก 在 efinanceThai - 10 อันดับสินค้าส่งออกของไทย - Facebook 的評價
- 關於สินค้าส่งออก 在 การส่งออกสินค้า (Export) | ECS 的評價
สินค้าส่งออก 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最佳貼文
การส่งออกของประเทศไทยแม้จะติดลบแต่ก็มีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกที่ติดลบน้อยลงเรื่อยๆ จากเดือน มิ.ย. (-23.7%) เดือน ก.ค. (-11.37%) เดือน ส.ค. (-7.94%) นั่นแปลว่ายอดการส่งออกของไทยค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นเพราะเป็นตัวเลขที่ติดลบน้อยสุดในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2563 (ข้อมูลจจาก สนค.)
.
ก่อนหน้านี้การส่งออกได้รับผลกระทบจากมรสุมหลากหลายด้านทั้ง ภัยแล้ง สงครามการค้า ค่าเงินบาท และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ กลับมีสินค้าดาวรุ่งที่โดดเด่นสวนกระแสสร้างยอดการส่งออกในยุค New Normal ได้เป็นอย่างดีแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสินค้าด้วยกันนั่นก็คือ
.
กลุ่มที่ 1อาหารและอาหารแปรรูป ประกอบไปด้วย
- ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เพิ่ม 21.68% : ขยายตัวใน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์
- หมูสดแช่เย็นแช่แข็ง เพิ่ม 642.90% : ขยายตัวใน ฮ่องกง เมียนมา
- ทูน่ากระป๋อง เพิ่ม 9.11% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ เปรู อียิปต์ แคนาดา ซาอุดีอาระเบีย
- กุ้งกระป๋อง เพิ่ม 10.20% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย เม็กซิโก สหราชอาณาจักร
- ปลาหมึกกระป๋อง เพิ่ม 88.24% : ขยายตัวใน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ กัมพูชา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน
- ข้าวโพดหวานกระป๋อง เพิ่ม 13.25% : ขยายตัวใน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ
- หน่อไม้กระป๋อง เพิ่ม 37.76% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย
- น้ำผลไม้ผสม เพิ่ม 25.13% : ขยายตัวใน ไต้หวัน กัมพูชา สหรัฐฯ จีน
- เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 4.02% : ขยายตัวใน จีน สิงคโปร์ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา
.
กลุ่มที่ 2 สินค้าป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด ประกอบไปด้วย
- ถุงมือยาง เพิ่ม 61.34% : ขยายตัวสูงต่อเนื่องเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีน
- สบู่ เพิ่ม 27.74% : ขยายตัวใน ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศ CLMV สหราชอาณาจักร
.
กลุ่มที่ 3 สินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านและสำหรับการ Work from Home ประกอบไปด้วย
- ตู้เย็น เพิ่ม 2.6% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
- เตาอบไมโครเวฟ เพิ่ม 32.06% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น แคนาดา
- ลำโพง เพิ่ม 81.53% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์
- พัดลม เพิ่ม 1.26% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ จีน แคนาดา
- คอมพิวเตอร์ เพิ่ม 3.33% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ จีน
- เฟอร์นิเจอร์ เพิ่ม 11.83% : ขยายตัวใน สหรัฐฯ เวียดนาม เกาหลีใต้
.
กลุ่มที่ 4 ยานพาหนะ ประกอบไปด้วย
- รถจักรยานยนต์ เพิ่ม 17.85% : ขยายตัวใน จีน ญี่ปุ่น เบลเยียม
.
จะเห็นได้ว่ากลุ่มสินค้าส่งออกที่มีตัวเลขสูงนั้นจะเป็นสินค้าในกลุ่มประเภทอาหารไม่ว่าจะทั้งอาหารสดในรูปแบบแช่แข็งและอาหารกระป๋อง ซึ่งส่งผลดีต่อเกษตรกรไทย ชาวสวน ชาวไร่ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่จริงๆ แล้วเป็นสินค้าดาวรุ่งตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 แต่พอเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นประชาชนในทุกประเทศก็ต้องการสินค้าในการกักตุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อว่าสินค้าไทยนั้นสะอาด ปลอดภัย ก็ทำให้สินค้าของเรานั้นเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นตามมา ส่วนสินค้าที่พุ่งสูงไม่แพ้อาหารนั่นก็คือถุงมือยางในกลุ่มสินค้าป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด ประกอบกับช่วง Work from Home ทำให้สินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านนั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่สำหรับจักรยานยนต์ถือเป็นสินค้าดาวรุ่งหน้าใหม่ที่ติดอันดับแบบม้ามืดอย่างมากเลยทีเดียว
.
การคาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่าทั้งปีจะติดลบไม่เกิด 7% และในปี 2564 จะมีการฟื้นตัวดีขึ้น โดยถึงแม้สินค้าทั้ง 4 กลุ่มนี้จะไม่สามารถทำให้ภาพรวมของการส่งออกของไทยนั้นกลายเป็นบวกได้ แต่ก็เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าการส่งออกของไทยนั้นติดลบน้อยลงและนั่นหมายถึงสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจไทยกำลังปรับตัวและดีขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้วิกฤตก็ยังมีสินค้าของไทยหลายๆ กลุ่มที่ส่งออกดีขึ้น ดังนั้นภายใต้มรสุมปัญหาที่พวกเรากับเผชิญอยู่นี้ก็ย่อมดีขึ้นได้อย่างแน่นอน สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยดี
.
ที่มา : https://www.commercenewsagency.com/columnist/3628?fbclid=IwAR3XYkl4LlgGwnVV9WusL_ck5Nj_1BYpp9XD2plItrHrDsFak5KvJntm0ao
.
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#ส่งออกไทย #สินค้าส่งออก #เศรษฐกิจ
#Economic
สินค้าส่งออก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ธนาคารแห่งประเทศไทย x ลงทุนแมน
ค่าเงินเปรียบเหมือนเหรียญ 2 ด้าน
ตอนนี้หลายคนกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ค่าบาทแข็งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
แต่ค่าเงินก็เหมือน “เหรียญ 2 ด้าน”
เวลาค่าเงินแข็งหรืออ่อน จะมีทั้งคนได้และเสียประโยชน์
วันนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และลงทุนแมน จะมาสรุปให้ฟังว่า
เมื่อค่าเงินบาทแข็ง ใครได้ประโยชน์ และใครเสียประโยชน์บ้าง?
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มจากคนที่ได้รับผลกระทบมากสุดก็คือ “ผู้ส่งออก”
ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทยส่งออกสินค้าราว 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ลองนึกภาพตามว่า
ถ้า 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 30 บาท
สินค้าส่งออก 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมีมูลค่าเท่ากับ 6,000,000 ล้านบาท
สมมติค่าเงินบาทแข็ง กลายเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 29 บาท
สินค้าส่งออก 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมีมูลค่าลดลงเหลือ 5,800,000 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น รายได้ของผู้ส่งออกจะหายไปประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
และสิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเงินที่แข็งขึ้น ทำให้สินค้าไทยแพงในสายตาคนต่างชาติ และอาจทำให้ต่างชาติเขาซื้อสินค้าไทยน้อยลง หรือไปเลือกซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน
นอกจากนั้น ยังมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจมาไทยน้อยลง และคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศที่นำเงินต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลงอีกด้วย
แต่ในอีกด้านที่ไม่ค่อยได้พูดถึงกัน..
ก็คือ “คนที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง”
สิ่งที่เห็นได้ชัดเรื่องแรกก็คือ “น้ำมัน”
ประเทศไทยไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากพอกับความต้องการของคนในประเทศ ดังนั้นไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบปีละประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เรื่องนี้จะตรงกันข้ามกับผู้ส่งออก ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ประเทศไทยจะประหยัดเงินที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันดิบไปได้ 20,000 ล้านบาท
เมื่อน้ำมันดิบถูกลง ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันที่ใช้ถูกลงทั้งในภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน และจะส่งผลทางอ้อมทำให้ต้นทุนสินค้าต่างๆ ถูกลงตามมา เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนของการผลิตและขนส่งส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจไทย
ดังนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าไฟฟ้าที่เราใช้จะถูกลง เพราะค่าเงินจะมีผลกระทบต่อต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ซึ่งค่าไฟฟ้าเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญในภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปเช่นกัน
นอกจากนั้น สำหรับในภาคอุตสาหกรรม ค่าเงินบาทแข็งจะช่วยให้ธุรกิจมีต้นทุนนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรถูกลง ซึ่งปกติไทยจะมีการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรปีละประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ประเทศจะประหยัดไปได้ราว 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้าของหรือผู้บริหารกิจการในการลงทุนนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรเข้ามาปรับปรุงของเดิมที่ล้าสมัย
ซึ่งในเร็วๆ นี้ก็มีหลายธุรกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะธุรกิจพลังงานที่ระบุว่าจะคว้าโอกาสช่วงค่าเงินบาทแข็งเร่งลงทุนเพิ่มเติม
สำหรับคนที่ได้ประโยชน์ต่อมา ก็คือผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ ธุรกิจและประชาชนที่มีหนี้ต่างประเทศจะมีมูลค่าลดลง
ตอนนี้ธุรกิจและประชาชนคนไทยมีหนี้ค้างจ่ายต่างประเทศอยู่ราว 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ธุรกิจและประชาชนจะมีหนี้ลดลงประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งคนที่จะได้รับประโยชน์ก็คือคนที่จะชำระหนี้คืนนั่นเอง
สุดท้ายเรื่องที่เป็นประโยชน์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลมากที่สุด ก็คือ การไปท่องเที่ยวต่างประเทศ
ในแต่ละปี คนไทยใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวต่างประเทศของคนไทยทั้งประเทศจะถูกลงไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
จากเรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้เราได้เห็นว่า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมี 2 ด้านเสมอ..
มีคนที่เสียประโยชน์ ก็มีคนที่ได้ประโยชน์
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีสาเหตุหลัก จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเฉพาะการส่งออกมากกว่านำเข้า และจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย
เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาที่ต้องร่วมช่วยกันแก้กันหลายภาคส่วน ผู้ประกอบการต้องนำเข้าและลงทุนมากกว่านี้ รวมถึงเราต้องช่วยกันสนับสนุนให้เงินไหลออกไปต่างประเทศมากขึ้น
และคนที่ได้รับผลกระทบในระหว่างนี้ก็คงต้องเร่งปรับตัวเองและพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้เป็นที่ต้องการมากขึ้นในสายตาต่างชาติ
เพราะในที่สุด ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมากล่าวว่า การดูแลค่าเงินเป็นสิ่งจำเป็นระยะสั้น แต่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุช่วยได้ระดับหนึ่งเหมือนให้ยาแก้ไข้ แต่เศรษฐกิจไทยตอนนี้อักเสบจากภายใน ซึ่งต้องแก้สาเหตุเชิงโครงสร้างซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
เมื่อได้อ่านบทความนี้จบทุกคนก็น่าจะรู้ถึงผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น
คนที่เสียประโยชน์คือใคร คนที่ได้ประโยชน์คือใคร
รู้ไหมว่าการอ่านเรื่องทั้งหมดนี้เหมือนเราได้เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่สอนกันในมหาวิทยาลัยโดยไม่รู้ตัวไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งถ้าเราทุกคนมีความเข้าใจและช่วยกันหาทางออก ประเทศเราก็น่าจะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สินค้าส่งออก 在 efinanceThai - 10 อันดับสินค้าส่งออกของไทย - Facebook 的推薦與評價
10 อันดับสินค้าส่งออกของไทย . จะมีอะไรบ้าง มาอ่านบทความแนะนำได้ที่นี่เลย>> https://goo.gl/81GBFv #สินค้าส่งออก #ตลาดส่งออก #กระทรวงพาณิชย์. ... <看更多>
สินค้าส่งออก 在 การส่งออกสินค้า (Export) | ECS 的推薦與評價
การปฏิบัติพิธีการศุลกากรสำหรับการส่งออก (Export) ... ทางน้ำหรือทางอากาศ โดยผู้ส่งสินค้าหรือบริการออกเรียกว่า ผู้ส่งออก ... ... <看更多>
สินค้าส่งออก 在 ผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้าส่งออกของไทย ที่กำลังเติบโต - YouTube 的推薦與評價
ผลิตภัณฑ์ไม้ สินค้าส่งออก ของไทย ที่กำลังเติบโต109880 ล้านบาท คือมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ของไทย ในปี 2564ซึ่งเป็นมูลค่าที่เติบโตขึ้น จากปี ... ... <看更多>