วันที่10 แล้วค่ะ
ตื่นแต่เช้าเลยเพื่อไปริมแม่น้ำคงคา สถานที่สำคัญของคนอินเดีย สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่คนอินเดียเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์กันมาก เราออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลย เมื่อมาถึงรถจอดพวกเราก็ต้องรีบเดิน ซึ่งงานนี้ก็จะมีคนเอาของมาขายเต็ม เวลาขายของของคนอินเดียจะแปลกนะ เขาไม่ขายเหมือนบ้านเรานะ เขาเอาของถือเดินตามพูดกับเราไปเรื่อยๆ ลูกทัวร์บางคนก็เริ่มซื้อ มีน้องคนหนึ่งเขาซื้อที่แปะหน้าผากของสาวอินเดียราคา ๓๐๐ รูปี หลังจากนั้นก็ถึงคราวพี่อ๋อ อย่างที่พี่อ๋อบอก เวลาคนเราค้าขาย ถ้าเราอยากให้การต่อลองจบเร็วและได้ทั้ง สองฝ่าย เราก็ควรเหลือกำไรให้เขาด้วย อย่าต่อจนเขาแย่ แต่ในขณะเดียวกันอย่าให้เขาได้กำไรเกินควร งานนี้พี่อ๋ออ่านใจเขาคิดว่า ๕๐ รูปีคือทุน แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักเรียน เอ้างั้น ๑๐๐ รูปีละกัน ปกติเมืองไทยขายอยู่ชุดละ ๒๕ บาท นี้มีอยู่ ๒๔ ชุดดังนั้นยังไงก็ถูกกว่าเมืองไทย เขาได้เงินไปเรียนด้วย (เห็นไหมคิดถึงใจเขาใจเราก็ได้ตรงกลาง) สรุปพี่อ๋อได้ของมาในราคา ๑๐๐ รูปี ลูกทัวร์ทุกคนมองหน้า เพราะบางคนซื้อแพงกว่าพี่อ๋อเยอะเลย เห็นความดีไหม นอกจากเป็นไกด์ได้ยังช่วยซื้อของได้ด้วย แต่ยังไม่จบนะยังอีกยาว
ท่าเรือคนเยอะมากช่วงที่เรารอขึ้นเรือ เราจะเห็นว่าคนเยอะมากๆ เมื่อเราขึ้นเรือแล้วงานนี้ หลวงพี่บอกว่า ไม่พอใจอะไรโทษ B เพราะวันนี้น้องเราลั้นลามาก ลืมลำโพง ถ้าหลวงพี่พูดก็จะไม่มีทางได้ยินทั้งเรือแน่ น่าโมโหมาก เพราะเมื่อเราลอยไปได้สักพัก ลูกศิษย์ก็เอากระทงมาให้ ที่นี่เขาจะเอาใบไม้มาทำเป็นเหมือนชามเล็กๆ เหมือนที่ใส่กุยช่ายสมัยก่อนนะ (เอ้ย เสียงอะไรนะ เชื่อไหมใครเชื่อบ้าง หมาฉัน “ตด” เสียงดังมาก นั่งอยู่ในห้องคนเดียวงงเลย คิดว่าหูฝาด เสียงดังมากเหมือนคนเลย ดีนะนั่งคนเดียวไม่งั้นคงโทษคน ใครจะนึกหมาตดได้)
หลังจากเราจุดเทียนเตรียมลอย พวกคนที่จะขายของก็เอาเรือเข้ามาแล้วเกือบทับกระทงเรา มันน่าโมโหมาก (เฮ้ย พระเจ้าแกล้งอ๋อ มีหมาสองตัว ตัวแรกมาตดใส่แล้วเดินกลับไป อีกตัวมานั่งใกล้ๆแล้วตดใส่ มองหน้าแล้วเดินจากไป เห็นอ๋อเป็นตัวอะไรเนี่ย)
หลังจากเราลอยกระทง B ก็เอากล่องอะไรมาก็ไม่รู้ เอามาให้หลวงพี่ ปรากฏว่าหลวงพี่บอกว่าเป็นอัฐิของโยมแม่ โห เปรี้ยวนะได้มาลอยแม่น้าคงคาจริงๆเลย ไม่ใช่แค่ปากอ่าวอย่างเรา เปรี้ยว
ขณะที่กำลังชื่นชม กับลูกกตัญญู นั้นเอง ก็มีของลอยมาให้ปลงสังขาร ศพจ๊ะ ไม่กล้ามองว่าศพไร กลัวเป็นคน เพราะที่นี่มีท่าสำคัญอยู่มากมาย แต่ที่คนนิยมที่สุดและมีกองไฟที่ลุกมาแล้วนับพันปีโดยที่ยังไม่เคยดับเลยอยู่ที่ “ท่ามณิกรรณิการ์” ท่านี้จะเป็นท่าที่เอาไว้เผาศพ ดังนั้นจึงมีการเผาตลอดเวลา อย่างช่วงที่เราไปดูก็จะมีอยู่ สามศพ พวกเขาเชื่อกันว่า ถ้าได้มาตายมาเผาที่ท่านี้จะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะพระศิวะท่านเคยเสด็จมา ดังนั้นหากนำศพมาเผาและเอากระดูกมาโปรยที่แม่น้ำนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ก็มียกเว้นนะ คือ เด็ก สาวบริสุทธิ์ คนโดนฟ้าผ่าตาย ฯลฯ พวกนี้เขาจะให้ลอยศพลงน้าเลยไม่ต้องเผา เพราะเชื่อว่าได้ขึ้นสวรรค์แล้ว (อย่างอื่นไม่สงสัย สงสัยอย่างเดียวรู้ได้ไงว่า บริสุทธิ์หรือเปล่าที่นี่ ๑๓ ยังมีลูก)
บางคนยากจนเผาไปได้ไม่เท่าไหร่ ฟืนหมดเขาก็จะโยนศพลงน้ำเลย (ตอนนี้รัฐบาลเขาออกกฎใหม่ไม่ให้แล้ว เผาให้หมด) ที่แปลกก็คือ แม่น้ำนี้ มีคนอาบน้ำ กินน้ำ เอาน้ำลูบหน้า และ ถ่ายลงน้ำ ศพลงน้ำ ที่สำคัญมันทากันตรงหน้าเลยนะ เช่นยืนอยู่ติดๆกันเขาก็จะทั้ง ดื่ม อาบและ ขี้ ใกล้ๆกันโดยไม่รู้สึกอะไร ที่สำคัญศพก็ลอย งงว่าทำใจกันได้ไง แต่หลวงพี่บอกว่าเขาเคยตรวจส่วนผสมของน้ำ ทำให้ทราบว่ามีกามะถันอยู่เยอะมาก ทำให้สิ่งสกปรกตกตะกอน ทำให้ไม่เกิดโรค นี่ละนะเขาถึงเรียกว่าธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ
แต่ยังไงอ๋อก็รับไม่ได้จ้าให้อาบยังเคือง ถ้าให้ดื่มคงต้องฆ่ากันละ
หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินกลับรถ งานนี้นักช๊อปอย่างเราก็สนุกเลยได้ผ้ามาเพียบ แต่สงสารลูกศิษย์จัง ลูกศิษย์เจอร้านขายหินแกะสวยมาก แต่ไม่มีเวลาต่อ คิดกันว่าจะกลับมาอีก แล้วก็เดินกลับรถ
เรามาถึงวัดกัน ๘ โมงแล้วต้องรีบไปวัดทิเบตจำได้ไหมที่เขามีพระบรมสารีริกธาตุนะ เราต้องรีบไปต่อคิวเพราะคนเยอะแล้วเขาเปิด ๘ โมงครึ่ง เราได้เป็นกลุ่มแรกของคนที่จะเข้าไป เมื่อถึงเวลาก็ประมาณ ๙ โมงแล้วละ เราก็ได้เข้าไปด้านใน พี่อ๋อเข้าใจว่าเขาจะเอาที่ใส่พระธาตุมาครอบหัวเราปรากฏว่างานนี้ ผิดหวังอย่างที่สุด เพราะเขาเอาครอบหัวแค่ เมื่อวานวันเดียวซึ่งมีปีละหนึ่งวันเท่านั้น เศร้า
เขาให้เราเดินเข้าไปแล้วให้อธิฐานจิต ซึ่งขอบอกว่าอย่างที่เขาให้ทำนะ ทำที่บ้านก็ได้ไม่ต่างกันเลย เอาเป็นว่าไม่คุ้มกับที่จะยอมอดข้าวเช้า ทันทีที่คิดได้อย่างนั้นเราก็รีบเดินกันใหญ่เลยเพื่อที่จะได้กลับไปทันทานข้าว อิ่ม
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไป สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ “อสิปตนมฤคทายวัน” เป็นสถานที่ที่ทำให้เกิด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สถานที่นี้เดิมเป็นสถานที่ พวกฤาษี รวมทั้งปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มาอาศัยอยู่หลังจากที่แยกจากพระพุทธองค์แล้ว ป่าแห่งนี้เป็นที่อาศัยของกวาง พระเจ้ากรุงพาราณสีโปรดพระราชทานไว้ คำว่า สารนาถ จึงนามาจาก “สารังคนาถ” แปลว่า ที่พึ่งของสัตว์ คือ กลวาง หมายถึงที่พึ่งอันประเสริฐของมวลมนุษย์ จากการประการพระธรรมจักร
ในวันเพ็ญเดือนอาสาหฬะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร อันเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก ให้ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ท่านได้กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระบรมศาสดา ซึ่งถือเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘
วันต่อมา พระพุทธองค์ประทานโอวาทแก่ปัญจวัคคีย์ที่เหลือดวงตาแห่งธรรมได้เกิดขึ้นแก่ ท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ทั้งสองท่านขออุปสมบท
วันต่อมา พระพุทธองค์ทรงให้โอวาทแก่ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ ครั้งนี้ พระมหานามะและพระอัสสชิ ก็เห็นดวงตาแห่งธรรม หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ สำเร็จเป็นอรหันต์ ห่างจากสถานที่เพียงแค่เดินไม่ถึง ๕นาที ก็เป็นสถานที่ที่เรียกว่า ยสเจตียสถาน ซึ่งพระยสกุลบุตร คือบุตรของเศรษฐี ที่เกิดความเบื่อหน่าย จึงพูดลอยๆว่า ที่นี่วุ่นวาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงได้ยินและตรัสว่า
“ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยสะ นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ”
หลังจากนั้น พระยสะก็บรรลุธรรม เมื่อบิดามาตามหาพระยสะ ก็กราบทูลขอเป็นอุบาสก ผู้มอบชีวิตถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นับเป็นอุปาสกที่กล่าวอ้างพระรัตนตรัยคนแรกของโลก ส่วนมารดาและภรรยาของพระยสะอุบาสิกาคู่แรกของโลกเช่นกัน
ขอนอกเรื่องหน่อยนะ คงจะยาวแต่อยากเล่านะ เมื่อกล่าวถึงพระยสะแล้วก็อยากจะกล่าวถึง “พระนาลกะ” อสีติมหาสาวก พระสงฆ์รูปที่ ๗ ของโลก หลังจากเรามีปัญจวัคคีย์ เพียง ๗ วัน เพียงแต่น่าเสียดายว่าหลังจากบรรลุพระอรหัตตผลเพียง ๗ เดือน ก็นิพาน ดังนั้นชื่อของท่านจึงไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคย
พระนาลกะเกิดในวรรณะพราหมณ์ มารดาของท่านเป็นน้องสาวของอสิตดาบส ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสุทโธทนะ พระนาลกะออกบวชเป็นฤๅษีตั้งแต่เด็กตามคำแนะนาของลุงว่า “วันข้างหน้า หากได้ยินเสียงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ขอให้เข้าใจเถิดว่าพระราชกุมารเสด็จออกบวช และได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เจ้าจงเข้าไปเฝ้าและจงบวชเป็นสาวกของพระองค์เถิด”
หลังจากนั้นฤๅษีนาลกะรับคำด้วยความเคารพ คอยฟังเสียงคำว่า “พระพุทธเจ้า” อยู่ตลอด ๓๕ ปี จึงได้ยินเสียงเทวดาป่าวร้อง หลังจากนั้นท่านจึงเดินทางมาเฝ้า ซึ่งเป็นเวลาหลังจากพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ๗ วัน พระพุทธองค์ทรงแสดง สดับธรรมโมเนยยปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติของมุนี ความว่า
เธอจงทำใจให้มั่นคง วางตนให้เหมือนกันทั้งแก่คนที่ด่าและไหว้ไม่มีความเย่อหยิ่ง ต้องละกาม งดเว้นจากเมถุนธรรม รักสัตว์อื่นเหมือนกับรักตนเอง จงละความอยากไม่หยุดในเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเหตุให้ประกอบมิจฉาชีพ มุนีต้องไม่เห็นแก่กิน บริโภคอาหารแต่พอประมาณ มักน้อย ทำตนให้หายหิวหมดความอยาก ดับความร้อนได้ทุกเมื่อ
มุนีเที่ยวภิกขาจาร ได้อาหารแล้วจงไปที่ชายป่า นั่งบริโภคตามโคนไม้บำเพ็ญฌานใช้ชีวิตอยู่ในป่า ได้อาหารอย่างไรก็บริโภคอย่างนั้น ไม่ควรหวังอาหารที่ยังไม่ได้ ขณะฉันไม่ควรพูด
มุนีขณะภิกขาจาร แม้ไม่เป็นใบ้ ก็ทำตนให้เหมือนคนใบ้ ไม่ควรหมิ่นทานว่าเล็กน้อย ไม่ควรดูถูกบุคคลที่ให้ยืน นั่ง นอน แต่ผู้เดียวในที่สงัด จงรู้ไว้เถิดว่าน้ำในแม่น้ำน้อย ย่อมไหลดัง ส่วนน้ำในแม่น้ำใหญ่ ย่อมไหลเงียบ สิ่งใดพร่องย่อมมีเสียงดัง สิ่งใดเต็ม สิ่งนั้นย่อมไม่มีเสียง
คนโง่ย่อมทำตัวเหมือนหม้อน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนฉลาดย่อมทำตนเหมือนหม้อน้ำเต็ม เพราะเป็นผู้สงบ เมื่อรู้เหตุแห่งความเสื่อมและความทุกข์ ผู้ปฏิบัติจึงได้ชื่อว่ามุนี
หลังจากได้ฟังก็ขอยึดข้อปฏิบัติของมุนี ๓ ประการ คือ มักน้อยในการเห็น มักน้อยในการฟัง มักน้อยในการถาม
พระนาลกะไม่ได้ปรารถนาอีกว่า เมื่อเข้าไปอยู่ป่าแล้ว ขอให้ได้ฟังธรรมจากพุทธองค์อีก จากนั้นก็กราบทูลลาเพื่อไปอยู่ในป่าลาพัง โดยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ
ไม่อยู่ป่าแห่งเดียวเกิน ๒ วัน
ไม่นั่งโคนต้นไม้ต้นเดียวเกิน ๒ วัน
ไม่บิณฑบาตบ้านเดียวเกิน ๒ วัน
ปกติพระพุทธเจ้าจะให้ทรงปฏิบัติแบบ มัชชิมาปฏิปทาน แต่ พระนาลกะ ปฏิบัติแบบ อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งนับว่ามีผลกับสุขภาพมากๆ กล่าวคือ
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นต้น หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๑๖ ปี
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นกลาง หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ ปี
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นสูงสุด หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือน
ดังนั้นหลังจากที่พระนาลกะสำเร็จอรหันต์ท่านจึงมีชีวิตอยู่เพียง ๗ เดือนเท่านั้น
ในวันที่ท่านจะต้องนิพาน ท่านก็ชำระกายและห่มผ้าสังฆาฏิสองชั้น ยืนหันหน้าไปทางที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่แล้วก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วลุกขึ้นยืนประนมมือพิงภูเขาแล้วนิพานด้วยอาการสงบ พระพุทธองค์ทรงทราบการนิพานก็เสด็จมาฌาปนกิจศพท่าน แล้วนำอัฐิมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ภูเขานั้น
อยากเล่าให้ฟังจะได้รู้จักอรหันต์ที่สำคัญอีกรูปแถมเป็นรูปเดียวที่ปฏิบัติแบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทาง เราจะเดินทางไปที่บริษัทที่พี่อ๋อกับกลุ่มใหญ่จะต้องแยกจากกันแล้ว เพราะพวกเราต้องเดินทางต่อ แต่คนอื่นๆเขาก็กลับไปที่ คยา แต่พวกเราจะไปกับน้องสาว
เอาเป็นว่าเมื่อเราไปถึงบริษัทที่เขาเตรียมรถ เราก็เริ่มช๊อปเพราะ ที่นั้นก็คือร้านขายของดีๆนี่เอง ซื้อกันอย่างเมามันเลย งานนี้ทุกคนอยากให้พี่อ๋อต่อให้ทั้งนั้น ใครจะซื้อต้องมาถามว่าซื้อได้ไหม ที่บอกนี่ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์
หลังจากแยกทางกับทุกคนแล้วเราก็ไปขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางไปโพปาลหรือสาญจี งานนี้ประทับใจกับคนอินเดียใช้หัวมากๆ กระเป๋าพวกเราซึ่งหนักและใหญ่มาก ผู้ชายตัวเล็กๆสามารถเอากระเป๋าใบใหญ่ๆไว้บนหัวได้หลายใบไม่น่าเชื่อเลย วันนี้พวกเราต้องนั่งรถไฟกัน ๑๒ ชม.ได้ พวกเราเลยนั่งรถไฟนอน ซึ่งก็ขอบอกว่ามันสบายมาก หลับยาวถึงสาญจีเลย ขอบอกว่าได้กินแล้วอาหารอินเดียเขาห่อมาให้อร่อยมาก แถมด้วยของอร่อยจาก แม่แสนดีของทริปเพราะอาหารเพียบ
「สารนาถ」的推薦目錄:
- 關於สารนาถ 在 Aur's Diary - อ๋อ ไดอารี่ Facebook 的最讚貼文
- 關於สารนาถ 在 Aur's Diary - อ๋อ ไดอารี่ Facebook 的最佳貼文
- 關於สารนาถ 在 Danai Chanchaochai Facebook 的最讚貼文
- 關於สารนาถ 在 สารนาถ (Sarnath) - Facebook 的評價
- 關於สารนาถ 在 เที่ยวสารนาถ (30-1-59) - YouTube 的評價
- 關於สารนาถ 在 ขนิษฐา สารนาถ (kat010429) - Profile | Pinterest 的評價
สารนาถ 在 Aur's Diary - อ๋อ ไดอารี่ Facebook 的最佳貼文
9แล้วนะคะ
เช้าแล้ว พวกเราตื่นแต่เช้ามากอย่างพี่อ๋อ ปกติไม่อาบน้ำเช้าเลยตั้งแต่มาอินเดีย แต่ขอบอกว่า ห้องน้ำมันน่าอาบถึงขนาดที่ยอมตื่นขึ้นมาเช้าหน่อย เพื่อที่จะได้อาบน้ำอีกซักรอบก็ยังดี ลองนึกกันดูนะอยู่อินเดียไม่เคยรู้สึกสะอาดเลย เพราะพอเดินออกมาอย่างแรกที่จะรู้สึกคือ เท้ามีฝุ่นทันที หลังจากนั้นจะมีความรู้สึกเหมือนเราสกปรกจังเลย และด้วยความที่พี่อ๋อคิดไว้ก่อนเดินทางมา จะเห็นว่าพี่อ๋อเป็นคนเดียวที่ไม่ว่าจะถ่ายกี่รูปก็ใส่ชุดเดิม สาเหตุเพราะพี่อ๋อตั้งใจแล้วว่าเมื่อเวลากลับจะไม่ต้องเอาอะไรกลับเลย บริจาคหมด ลูกศิษย์ก็ทำแบบเดียวกัน มาคราวนี้เอาบุญอย่างเดียว แต่เนื่องจากผ้ามันถูก ลูกศิษย์และพี่อ๋อเจอปัญหาเดียวกันคือ สีตก วันที่ใส่สีดำนะ ขอบอกขาดำมาก (เอาเป็นว่าขนาดพี่อ๋อกลับมาเมืองไทยวันแรกทนไม่ได้ต้องไปทำเล็บนะ แล้วก็หน้าแตกอายมากเพราะคิดว่าอาบน้ำไปก่อนแล้วนะพอเขาล้างเท้าถึงหัวเข่านะ น้ำมันออกมาเป็นสีน้ำตาลเลย ที่สำคัญหนังใต้เท้าที่เขาเอาออกนะรวมกันปั้นตุ๊กตาได้เลย น่ากลัวมาก)
เข้าเรื่องก่อนออกนอกเรื่องแล้ว เช้านี้นอกจากพวกเรานะก็มี ลูกศิษย์ตามมาช่วยด้วย ส่วนลูกศิษย์บางคนนอนอยู่วัด ลงทุนนอนเต้น วัดจะมีสภาพเหมือนเวลาเขาก่อสร้างแล้วเราไปทำที่อยู่ชั่วคราวนะ ก็คิดเอา พวกหลวงพี่เขาต้องอยู่อย่างนี้ อีกอย่างน้อย ๒ ปีเลย อาหารการกินก็ลำบากเพราะต้องปลูกเอง หุงเอง แถมยังต้องให้ทานอีกเพราะคนอินเดียจน ไกด์เคยเล่าให้ฟังว่าเด็กที่มาเรียนที่อินเดียจะอยู่อย่างราชา แต่กลับมาเมืองไทยเป็นยาจก ต่างจากเด็กที่ไปเรียนอเมริกาจะอยู่อย่างยาจกกลับเมืองไทยเป็นราชา สาเหตุเพราะ ปลาบอกว่าเวลา เรียนอยู่ที่อินเดียพวกเขาไม่ต้องทำความสะอาดซักผ้าเอง จ้างคนอินเดียทำเดือนละ ๑๕๐ รูปีเองตกเงินไทยประมาณ ๑๐๐ บาทนะต่อเดือนนะ แต่ถ้าอยู่อเมริกานอกจากต้องทำเองแล้วต้องไปทำงานร้านอาหารด้วย มันต่างกันจริงๆงะ
เอาเป็นว่าเช้านี้พวกเราจะมีอะไรกินดีกว่า เนื่องจากโจทย์มีอยู่ว่า หลวงพี่มีผัก มีซุบไข่ที่เหลือแต่ซุปเมื่อคืน และมีฝักทอง (โครตคิดถึงคนที่บ้านเลย) ทำไงดีว้า นึกอยู่ตอนแรกว่าจะทำข้าวต้มตอนเช้าแต่พอเอาเข้าจริงทุกคนเริ่มเบื่อเพราะกินทุกวัน เอางี้ละกันเราพักเกาหลี กินอะไรคล้ายคนเกาหลีหน่อยละกันนะ พี่อ๋อเอาข้าวมาผักกับฝักทองและผักที่หันเป็นเล็กๆ (ขอบอกว่าซีอิ้วหรือน้ำปลาหายากทำให้ปรุงแบบกลัวหมดมาก) เอามาผัดแต่เวลากินต้องเอาน้ำซุบมาราดเพื่อที่จะทาน นั้นคือมื้อเช้าของเรา ซึ่งจากผลทุกคนบอกว่าอร่อยมาก
ส่วนมื้อกลางวันของพวกเราเป็นฝีมืออีกท่าน ซึ่งเอาปลากระป๋องมาแกะและใส่ฝักบุ้งกับน้ำพริกกุ้งเสียบที่เขาเอามา งานนี้ต้องพึ่งพี่ลูกศิษย์อีกคนมากๆ เพราะมันเยอะและหนัก ผัด ลำบากมากต้องใช้แรงเยอะงานนี้ลูกศิษย์เลยกลายเป็นพ่อครัวจำเป็น
มีความลับจะบอกแม้แต่คนที่ไปด้วยกันยังไม่รู้เลย ถ้าลูกศิษย์หรือใครในทริปมาอ่าน พี่อ๋อขอถือเป็นการสาระภาพบาปละกันนะ
ขณะที่กำลังผัดนั้น ลูกศิษย์ก็เดินมาบอกว่า มีพี่คนหนึ่งเขาทานเผ็ดไม่ได้นะ อีกอย่างพี่อ๋อเริ่มคิดว่าลูกศิษย์บางคนมันก็ไม่สบาย เพราะไปทานเห็ดและแพ้ ทำให้ตลอดสองวันที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้เห็นเขาทั้งพูดทั้งขยับนัก ขณะที่พวกเราทำอาหาร น้องเขาก็ยังพักอยู่ แต่เพราะเป็นผู้นำทัวร์ยังไงก็ต้องตื่น ลูกทัวร์ไม่ได้นอน ผู้นำนอนได้ไง
หลังจากลูกศิษย์มาบอกพี่อ๋อเริ่มมองหน้ากัน พวกที่กำลังผัดให้ข้าวเย็นจะได้เอาใส่ถุงมากินกลางวัน พี่อ๋อเดินเข้าไปแล้วชิม ลูกศิษย์บอกว่าพี่มันรสแปลกๆนะ พี่อ๋อชิมเสร็จบอกว่า อื่อ แปลกจริงๆด้วย พวกเราเริ่มมองหน้ากันเอาไงวะ เดี๋ยวคนทำเสียใจ ถ้าเราจะต้องปรุงเพิ่ม พี่อ๋อกับลูกศิษย์เลยเริ่มเรียกว่าอะไรดีละ ถ้าลูกศิษย์พี่อ๋อก็จะว่า ๘ มากๆ แต่ถ้าภาษามนุษย์คงบอกว่าโคตรกะล่อน พี่อ๋อเริ่มทำอาหารในกระทะสุดท้ายใหม่ บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เผ็ด แล้วเอาน้ำพริกแสนอร่อยที่เหลืออยู่กระป๋องเดียวออกมาแล้วใส่หมดเลย หลังจากนั้นเราก็เริ่มปรุงเพิ่ม แอบเอามะนาวของหลวงพี่มาด้วย (ถ้ามาอ่านบอกหน่อยสิว่าน้ำพริกกุ้งที่เอามานะยี่ห้ออะไรจะไปซื้ออร่อยมาก หรือมันจะอร่อยเฉพาะที่อินเดียน้า เกิดมาก็เพิ่งเคยกินน้ำพริกก็ที่นี่ละ)
เอาเป็นว่าหลังจากการปรุงใหม่ มันอร่อยมาก พวกเราเลยตกลงกันว่านี้เป็นของพวกเรา เอาน่ายังไงก็เป็นคนทำถือสะว่าให้ตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นหน่อยละกันนะจ้า พวกเราเลยเอาข้าวกระทะสุดท้ายใส่ถุงแยกต่างหาก ส่วนคนที่ได้กินก็คือ พวกเรา (คนกินไม่ได้เพราะเผ็ดเลยต้องกินของที่อีกท่านทำ)
หลังจากพวกเราทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มคิดที่จะไปล้างจาน ปรากฏว่า ลูกศิษย์น่ารักมากๆกำลังล้างอยู่เลย จากสภาพคงล้างมานานแล้วด้วย พวกเราเลยรีบใหญ่ หลังจากเสร็จการเป็นแจ๋ว เราก็กลายร่างเป็นมหาราณีใหม่
คนขับขับรถมาได้สักพัก ก่อนออกเดินทางหลวงพี่พูดแปลกๆ หลวงพี่บอกว่าใช้เวลาเดินทางจริง ๘ ชั่วโมง แต่ทำใจไว้ก่อนนะ เพราะอาจจะมากกว่า อาจจะมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ตอนหลวงพี่พูดขอบอกว่านึกไม่ออกจริงๆนะ จนกระทั้ง รถหยุดแล้วเราถามว่าถึงแล้วหรือ ทาไมคนเยอะจัง ปรากฏว่าเขาบอกว่าไปต่อไม่ได้ ถ้ากลับก็ใช้เวลาเพิ่มอีก หลายชม. ดังนั้นรอดีกว่า “รออะไร” รอคนคนเป็นหมื่น หลวงพี่เล่าว่า ระยะทางที่เราจะข้ามสะพานนี้ไปนะแค่ ๒ กม. แต่ว่าใช้เวลาประมาณ ๒-๔ ชม. ทีเดียว เพราะคนอินเดียเขามีศรัทธามากๆ พวกเขาจะเดินทางมาที่สะพานนี้เพราะเขาเชื่อว่า สถานที่นี้คือที่ที่พระรามเสด็จลงมา ดังนั้นจะเป็นศิริมงคลมากๆ เขาบอกว่ากว่าเราจะไปได้คงประมาณ ๒ ชั่วโมงหรือเที่ยงแล้ว
งานนี้พี่อ๋อจะหยุดได้หรือ เห็นของแปลกสะขนาด พี่อ๋อก็ชวนเลย ไปกัน งานนี้เดินลงไปดูมีอะไรประหลาดหรือ แน่นอน นอกจากการขายหมากเพราะอินเดียกินหมาก ยังมีคนขนศพมาด้วย และขอบอกว่าคนเยอะมากแทบจะหลงกันเลยทีเดียว พวกเราเดินไปแล้วเดินกลับขากลับเราเจอตำรวจ พอเห็นว่าตำรวจเป็นไงนะนึกถึง พันธมิตรกับตำรวจเมืองไทยเลย แต่ขอบอกว่าตำรวจเราใจดีกว่านะ เพราะ escort ของเราเขาโทรไปบอกตำรวจว่าพวกเรารีบให้ช่วยเคลียร์ทางให้หน่อย เขาเลยมาไล่คนให้ แต่ลองนึกนะว่าบนถนนมันไม่มีช่วงว่างเลยแม้แต่ช่องให้คนยืน แล้วคนอินเดียก็ไม่น่าเชื่อเลย เขาไม่มีเลน แต่เป็นที่เข้าใจกันว่ามันมีสองด้าน แต่พอเป็นแบบนี้นะมันสวนกันมั่วไปหมดแถมไปไม่ได้เพราะติดคน หลังจากที่ตำรวจมาช่วยสักพักพวกเราก็เคลื่อนได้ พี่อ๋อเริ่มไปนั่งในห้องคนขับ ได้เห็นวิธีไล่คนของตำรวจอินเดีย มีอยู่ภาพที่ตกใจแต่ประทับใจ คือมีคนขี่จักรยานสวนเข้ามาตรงบริเวณที่เป็นรถ ตำรวจเขาเอามือตบหัวแล้วเอากระบองตีที่ตัว พอคนของเขาเถียง เขาก็ตบหัวอีก เอาสะหัวสะบัดเลย ที่สำคัญคนที่อยู่บริเวณนั้น แต่ละคนก็มองเฉยๆ และมีการเอากระบองตีรถด้วย
แต่มหัศจรรย์มีจริงนะ เพราะหลังจากนั้นมันก็เกิดช่องว่างบริเวณหน้ารถ แล้วสิ่งที่ไม่คาดก็เกิดขึ้น พวกเพื่อนๆในรถนั่งกันมานาน เริ่มคิดถึงห้องน้ำ ทุกคนเลยขอลง ในขณะที่รถเริ่มเคลื่อนไปได้ พวกเขาลงไป แต่ไม่มีสิทธ์ขึ้นกลับมา เพราะรถเริ่มเคลื่อนไปเรื่อยๆ และไม่สามารถหยุดได้ เพราะถ้าหยุดก็จะออกไม่ได้อีกเลย กว่าพวกเราจะได้เจอทุกคนอีกก็คือข้ามสะพานไปแล้วไปจอดรอ ซึ่น้องของเราแม้ไม่สบายแต่ก็รับผิดชอบ
ขอลงไปดูพวกที่ลงไปก่อน หลังจากนั้นสาวน้อยของเราก็สามารถนำทุกคนกลับมาได้ปลอดภัย น่ารักมาก (พยายามอธิบายให้ดีที่สุดนะ ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงพันธมิตรนะแล้วมีรถวิ่งเข้าไปในใจกลางนะ เหมือนเลย)
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกันยาวเลย หลับบ้างอ่านหนังสือบ้าง จนมาถึง สารนาถ คืนนี้เราจะพักที่วัดจีน (ไปมันทุกประเทศ) หลวงพี่เล่าให้งงว่า วัดจีนพระไทยมาอยู่ ส่วนวัดไทยพระจีนไปอยู่ เพราะพระจีนกับพระอินเดียทะเลาะกัน เอ้า เอาเข้าไปพระไทยอยู่ตรงกลางอะไรก็ได้
ที่วัดนี้พี่อ๋อเสียใจและเสียดายมาก เพราะเมื่อเดินออกจากห้องหลังจากที่พวกเขากินข้าวเย็นเสร็จ (พี่อ๋อไม่กินข้าวเย็น) เราก็ออกเดินทางมาที่วัดทิเบต เพราะในหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียว เขาจะแห่พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเขาจะเอามาครอบหัวเรา แต่พวกพี่อ๋อมาไม่ทัน ดังนั้นเขาบอกว่าให้มาใหม่พรุ่งนี้ งั้นเราค่อยเล่าให้ฟังพรุ่งนี้นะ
สารนาถ 在 Danai Chanchaochai Facebook 的最讚貼文
วันอัฏฐมีบูชา คือวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 8 วัน
นอกจากนั้น วันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ (หลังประสูติ) และเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน หลังตรัสรู้อีกด้วย
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว 8 วัน มัลละกษัตริย์แห่งเมืองกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ แห่งเมืองกุสินารา เป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธมีความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเจ้ามัลละถามถึงวิธีปฏิบัติพระสรีระกับพระอานนท์เถระ แล้วทำตามคำของพระเถระนั้นคือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า 500 คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด
จากนั้นอัญเชิญ พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า 4 คน สระสรงเกล้า และนุ่งห่มผ้าใหม่ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ พระอนุรุทธเถระแจ้งว่า "เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ 500 รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้"
ก็เทวดาเหล่านั้น เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี และเมื่อภิกษุหมู่ 500 รูปโดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธานเดินทางมาพร้อมกัน ณ ที่ถวายพระเพลิงแล้ว ไฟจึงลุกโชนขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครจุด
หลังจากที่พระเพลิงเผาซึ่งเผาไหม้พระพุทธสรีระดับมอดลงแล้ว บรรดากษัตริย์มัลละทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ใส่ลงในหีบทองแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา ส่วนเครื่องบริขารต่างๆ ของพระพุทธเจ้าได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามที่ต่างๆ อาทิ ผ้าไตรจีวร อัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระ บาตรอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาตลีบุตร เป็นต้น และเมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่างๆ ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินารา จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตนแต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกัน แต่ในสุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลาย เนื่องจากโทณพราหมณ์ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อยุติความขัดแย้งโดยเสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่าๆ กัน ซึ่งกษัตริย์แต่ละเมืองทรงสร้างเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามเมืองต่างๆ
******
59 ออร์เดอร์เเรก เชิญรับไปบูชา
เหรียญ 'พระพุทธเมตตา'
📚 ชุดสู่แดนพุทธองค์ Box Set พร้อมกล่อง
มี 4 เล่ม (เหลือไม่กี่ชุด)
1. ลุมพินีวัน ดินแดนแห่งการประสูติ
2. พุทธคยา ดินแดนแห่งการตรัสรู้
3. สารนาถ ดินแดนแห่งการแสดงปฐมเทศนา
4. กุสินารา ดินแดนแห่งการปรินิพพาน
เขียนโดยท่านเจ้าคุณวีระยุทธ วีรยุทโธ
พิเศษ 500 บาท
ราคารวม 650 บาท
💰 ประหยัดไปถึง 150 บาท
จัดส่งฟรี!
👉🏻 คลิกดูโปรฯ เพิ่มเติม :
shorturl.at/efpOY
👉🏻 ชอปผ่านแอดมินที่ LINE
https://lin.ee/23srGai
086-884-2449
092-956-1145
DMG Books
สารนาถ 在 เที่ยวสารนาถ (30-1-59) - YouTube 的推薦與評價
เรื่องเล่าข้ามโลก : "ปองพล อดิเรกสาร" พาไปเที่ยว สารนาถ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานที่มีขนาดใหญ่ ชมที่ตั้งเสาอโศก ... ... <看更多>
สารนาถ 在 ขนิษฐา สารนาถ (kat010429) - Profile | Pinterest 的推薦與評價
Save space on your device. Sign up. ข. ขนิษฐา สารนาถ. @kat010429. 0 followers. ·. 0 following. Follow. kat010429 hasn't saved any Pins yet. ... <看更多>
สารนาถ 在 สารนาถ (Sarnath) - Facebook 的推薦與評價
คำว่า สารนาถ แปลว่า ที่พึ่งของกวาง มาจากคำว่า “สารังคนาถ” แปลว่า พื้นดินที่เป็นที่พึ่งของสัตว์คือกวาง สมัยพุทธกาลเรียกว่า ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ... ... <看更多>