ใครคือผู้ก่อตั้ง TSMC ผู้ผลิตชิป ให้คนครึ่งโลก /โดย ลงทุนแมน
แม้ว่าระบบปฏิบัติการ iOS ของแอปเปิลและ Android ของกูเกิล จะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับตลอดกาล
แต่รู้หรือไม่ว่า ชิปเซต หรือ สมองของสมาร์ตโฟนที่อยู่บนสมาร์ตโฟน เช่น ชิป A-Series ของแอปเปิล หรือชิป Snapdragon หลายรุ่นบน Android กลับถูกผลิตขึ้นโดยบริษัทเดียวกันที่ชื่อว่า Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC
ซึ่งนอกจากชิปบนสมาร์ตโฟนแล้ว TSMC ยังมีส่วนแบ่งการตลาดชิปเซตทั้งหมดบนโลกมากถึง 55.6% หรือเรียกได้ว่าชิปเกินกว่าครึ่งโลก ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทแห่งนี้
ปัจจุบัน TSMC มีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านล้านบาท เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกและมีมูลค่าเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชีย เป็นรองเพียง Saudi Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย
แล้ว TSMC มีที่มาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สำหรับผู้ก่อตั้งบริษัท TSMC ก็คือ “Morris Chang”
Morris Chang หรือ มอร์ริส จาง เกิดที่เมือง Ningbo
ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกของประเทศจีน ในปี ค.ศ. 1931
แม้จางจะเรียกได้ว่าเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่ชีวิตในวัยเด็กของเขากลับไม่ได้สุขสบายมากนัก นั่นก็เพราะว่าเขาต้องเจอกับสงครามถึง 3 ครั้งด้วยกัน ได้แก่
- สงครามกลางเมืองในจีน ช่วงปี ค.ศ. 1927 ถึง 1949
- สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่สอง ช่วงปี ค.ศ. 1937 ถึง 1945
- สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1939 ถึง 1945
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ครอบครัวของเขาต้องทำการย้ายไปมาอยู่บ่อยครั้ง
จนในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามกลางเมืองในจีน กำลังร้อนระอุ
จางในวัย 17 ปี พร้อมกับครอบครัว จึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ ฮ่องกง
แม้ในช่วง 17 ปีแรกของชีวิต จางจะได้รับผลกระทบจากสงครามเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสงคราม ก็คือ เขาต้องขยันและทำงานหนัก โดยสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อของเขาคอยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ก็คือ “เรื่องการเรียน” ด้วยเหตุนี้ จางจึงสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard ได้สำเร็จ
หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 1 ปี เขาก็ได้ย้ายไปเรียนที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT และเขาก็ได้จบการศึกษาในสาขาวิศวกรรมเครื่องกล ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
งานแรกของ มอร์ริส จาง เริ่มต้นขึ้นที่ Sylvania Semiconductor เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับบริษัทแม่ Sylvania Electric Products อีกทีหนึ่ง
แต่หลังจากทำงานได้ 3 ปี เขารู้สึกว่าแนวทางของบริษัทในอนาคต ไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด
แนวทางของบริษัทคือ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าหลาย ๆ ชนิด
ซึ่งต่างจากเป้าหมายของจางที่ต้องการโฟกัสไปที่ การพัฒนาตัวเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก
เรื่องดังกล่าว จึงทำให้จางตัดสินใจออกจากบริษัท Sylvania Semiconductor เพื่อมาเริ่มงานใหม่ที่ Texas Instruments ในปี ค.ศ. 1958 และด้วยความสามารถของเขาทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมของบริษัท ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี
หลังจากนั้น เขาได้ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนได้รับตำแหน่ง รองประธานในการดูแลฝ่ายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 1980
บริษัท Texas Instruments ต้องการที่จะขยายธุรกิจเข้าไปสู่ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น
โดยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่น TI-99/4
ซึ่งเดิมทีโมเดลธุรกิจหลักของ Texas Instruments คือเป็นซัปพลายเออร์ให้กับบริษัทอื่น
ไม่ได้ทำการค้าขายกับลูกค้ารายย่อยโดยตรง ซึ่งทางบริษัทก็ได้มอบหมายหน้าที่การขายสู่ลูกค้ารายย่อยให้กับจาง
หลังจากใช้เวลาไป 2 ปีครึ่ง ผลงานภายใต้การบริหารของจางกลับไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทคาดหวังเนื่องจากในช่วงนั้นมีผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากมาย เช่น คอมพิวเตอร์ Apple 2 ในยุคของ สตีฟ จอบส์
แม้ตำแหน่งในบริษัทของเขายังคงเป็นรองประธานก็ตาม
แต่จากผลงานที่ค่อนข้างแย่ เขาจึงถูกทางบริษัทลดตำแหน่งลง
เหตุการณ์นี้เอง ก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับจางเป็นอย่างมาก
เพราะที่ผ่านมา เขาได้สร้างผลงานมากมายให้บริษัทเป็นเวลายาวนานกว่า 20 ปี
ในปี ค.ศ. 1983 จางในวัย 52 ปี จึงตัดสินใจลาออกจาก Texas Instruments
ซึ่งทันทีหลังจากที่เขาลาออก ก็ได้มีหลายบริษัทติดต่อเขาให้เข้าไปทำงานมากมาย
หนึ่งในนั้นคือ General Instrument Corporation หรือ GIC
บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านเซมิคอนดักเตอร์และเคเบิลทีวี
ซึ่งเขาได้เลือกทำงานในบริษัทนี้ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
ด้วยเหตุผลที่ว่า GIC ก็ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ แม้จะไม่เท่า Texas Instruments
แต่ก็ตรงกับเป้าหมายของเขา ที่อยากเป็น CEO ของบริษัทระดับโลก
แต่หลังจากเข้าทำงานที่ GIC ได้ไม่ถึง 1 ปี เขาพบว่า
GIC เป็นบริษัทที่มีแนวทางการเติบโต จากการควบรวมกิจการอื่น ๆ
ต่างจากแนวทางการเติบโตแบบ Organic Growth ที่เขาตั้งใจไว้
ทำให้ระยะเวลาไม่นาน จางจึงได้ตัดสินใจลาออกอีกครั้ง
และแล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1985
ในช่วงนั้น รัฐบาลไต้หวันต้องการเสริมสร้างความสามารถในการผลิตสินค้าของประเทศ
ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะสินค้าไอที
และหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ถูกผลักดัน ก็คือ “อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”
สิ่งที่รัฐบาลไต้หวันทำในตอนนั้นคือ
มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อก่อตั้ง “สถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม”
หรือ Industrial Technology Research Institute (ITRI)
สิ่งที่ยังขาดไปสำหรับ ITRI ของไต้หวัน คือ “ผู้นำ” ที่จะพาให้โครงการนี้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของจาง เขาจึงได้รับข้อเสนอจากทางรัฐบาลไต้หวัน ให้เข้ารับตำแหน่งประธานของ ITRI ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการความสามารถของเขาในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ
หลังจากที่เขาตกลงรับข้อเสนอในครั้งนี้ ทางรัฐบาลไต้หวันได้ให้โจทย์กับเขาว่า
ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ผ่านการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา
จางจึงได้เริ่มวิเคราะห์ โมเดลธุรกิจที่จะทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ
ซึ่งเขาพบว่าไต้หวันในตอนนั้นมีจุดอ่อนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา
การออกแบบ และการตลาด ไต้หวันไม่มีความสามารถมากพอ
ที่จะสู้กับทาง Intel หรือ Texas Instruments ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยู่ได้เลย
จุดแข็งเดียวที่พอมี คือ “การผลิต” และจากการวิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง
ทำให้คำตอบของโจทย์นี้ออกมาเป็น “จัดตั้งบริษัทรับจ้างผลิตให้กับบริษัทอื่น”
แม้ความคิดนี้จะโดนคัดค้านในตอนแรก เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่มีบริษัทที่มีโมเดลแบบ Fabless หรือ ไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เช่น Apple หรือ Nvidia ในปัจจุบัน จึงทำให้ไม่มีตลาดรองรับ
แต่จากประสบการณ์ทำงานในวงการมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี เขาสังเกตเห็นว่า
ทุก ๆ ปี จะมีพนักงานหลายคนของ Texas Instruments หรือ Intel ที่มีความคิด อยากออกมาสร้างธุรกิจเกี่ยวกับ ชิปเซตเป็นของตัวเอง
แต่ทุกครั้งความคิดนี้ต้องล้มเลิกไป เพราะการที่จะสามารถดำเนินธุรกิจ ชิปเซต ได้นั้น จำเป็นต้องมีโรงงานการผลิตเป็นของตัวเอง
ทำให้ยุคนั้นยังไม่มีบริษัทไหนที่ทำโมเดลธุรกิจรับจ้างผลิตเลย เพราะการสร้างโรงงานจำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งต้นทุนในการสร้างโรงงานใหม่ถ้าคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่หลักแสนล้านบาทเลยทีเดียว
ในปี ค.ศ. 1987 Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา
ซึ่งมีโมเดลการดำเนินธุรกิจ รับจ้างผลิตชิปเซตให้กับบริษัทอื่นโดยไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง ซึ่งนับเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีโมเดลแบบนี้เกิดขึ้น
โดยในช่วง 3 ปีแรก บริษัทมีลูกค้าเพียงไม่กี่ราย ส่วนใหญ่มาจากภายในประเทศ
แต่หลังจากนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1991 เป็นต้นมา สิ่งที่จางคิดไว้ในตอนแรกก็เริ่มเป็นจริง
เพราะเริ่มมีบริษัทที่ต้องการชิปเซตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีทุนสร้างโรงงานผลิต
บริษัทเหล่านี้จึงได้กลายมาเป็นลูกค้าของ TSMC และได้ทำให้บริษัทเติบโตขึ้น
เหตุผลที่ทำให้หลายบริษัทเข้ามาเป็นลูกค้าของ TSMC เพราะบริษัทมีเทคโนโลยีในการผลิตที่มีความซับซ้อนสูง สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ในปี ค.ศ. 2020 TSMC มีมูลค่าในการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท คิดเป็น 8.5% เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งบริษัท ซึ่งมากกว่า Apple หนึ่งในเจ้าแห่งนวัตกรรมที่มีสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 6.8% เสียอีก
โดย TSMC มีลูกค้ารายใหญ่คือ Apple, Nvidia และ Qualcomm และมีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ มากถึง 55.6% เลยทีเดียว
ปัจจุบัน TSMC มีมูลค่าบริษัท สูงถึง 20 ล้านล้านบาท มากกว่า Intel ที่มีมูลค่า 7 ล้านล้านบาท และ AMD ที่มีมูลค่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดทั่วโลกอีกด้วย
จากเรื่องทั้งหมดนี้จึงทำให้ตัวเจ้าของบริษัทอย่าง มอร์ริส จาง มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 93,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 15 ของไต้หวัน
ถ้าถามว่าแนวคิดอะไร ที่ทำให้จางประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้
เราน่าจะสรุปได้เป็น 2 ข้อ
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า มอร์ริส จาง เป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนมาก
หากเขารู้สึกว่างานที่เขาทำอยู่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่เขาต้องการ
เขาก็พร้อมออกมาเพื่อตามหาสิ่งที่ตรงกับเป้าหมายของเขาเสมอ อย่างเช่น ตอนที่เขาออกจาก Sylvania Semiconductor และ GIC เพราะเขาต้องการงานที่โฟกัสไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก
2. ความไม่ยอมแพ้
แม้หลายคนจะไม่เห็นด้วยกับการก่อตั้ง TSMC ให้เป็นบริษัทรับจ้างผลิตชิป แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และเชื่อมั่นในแนวคิดของตนเอง ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัทจนสำเร็จ
จากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนบวกกับการไม่ยอมแพ้ของจาง จึงไม่แปลกใจเลยที่ในวันนี้เขาสามารถพา TSMC ให้ประสบความสำเร็จจนมีมูลค่าบริษัท 20 ล้านล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกไปแล้ว นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/TSMC
-https://en.wikipedia.org/wiki/Morris_Chang
-https://www.longtunman.com/27349
-https://www.longtunman.com/27702
-https://sahilbloom.substack.com/p/the-amazing-story-of-morris-chang
-https://www.yourtechstory.com/2018/08/16/morris-chang-chip-industry-tsmc/
-https://www.semi.org/en/Oral-History-Interview-Morris-Chang
-https://www.forbes.com/profile/morris-chang/?sh=7eb878d45fc4
-https://en.wikipedia.org/wiki/Sylvania_Electric_Products
-https://www.investopedia.com/articles/markets/012716/how-taiwan-semiconductor-manufacturing-makes-money-tsm.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Semiconductor_fabrication_plant
-https://en.wikipedia.org/wiki/Texas_Instruments
-https://www.counterpointresearch.com/global-smartphone-share/
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,The All-New Mitsubishi Triton / Nissan Navara 2023-2025 มิตซูบิชิ ไทรทัน / นิสสัน นาวาร่า เจนเนอเรชั่นใหม่ ต้องถูกออกแบบ และผลิต ตามแนวทางใหม่นี้ เมื...
ผู้นำ คือ 在 สมองไหล Facebook 的最讚貼文
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางคนขนาดเจอวิกฤต แต่ทำไมเขายังเติบโตได้
.
ทั้งที่ใครๆ ก็บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี มีวิกฤตโรคระบาด ข่าวธุรกิจเจ๊งก็มีให้เห็นทุกวัน ใครที่อยากจะทำธุรกิจ ไม่มีทางสำเร็จได้หรอก
.
แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ จริงๆ แล้ว มันยังมีคนอีกจำนวนมาก ที่เติบโตในช่วงนี้อยู่ เพียงแค่ไม่มีใครทำข่าวออกมาเท่านั้นเอง
.
ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา เวลาผมไปพักผ่อน หรือ ไปเที่ยวที่ไหน ผมมักจะลองเข้าไปพูดคุย ทำความรู้จัก คนที่พบเจอระหว่างทางว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร แล้วตอนนี้ธุรกิจของเขาเป็นยังไงบ้าง
.
เกือบทุกคนบอกว่า ช่วงนี้ดีเลยนะ ยอดขายโตขึ้น 2-10 เท่า
.
ผมจึงอดสงสัยที่จะถามพวกเขาไม่ได้ ว่าเศรษฐกิจแบบนี้ สถานการณ์โรคระบาดแบบนี้ เขาไม่ได้รับผลกระทบเลยหรอ
.
และเกือบทุกคนแทบจะให้คำตอบที่คล้ายๆ กัน นั่นก็คือ "กระทบสิ ใครๆ ก็กระทบกันทั้งนั้นแหละ"
.
แต่อยู่ที่ว่า เวลาเจอปัญหา เราเลือกที่จะ “บ่น” หรือ “แก้ไข” มัน
.
ถ้าเราเลือกที่จะ “แก้ไข” เราก็จะ “ได้ตังค์” แต่กลับกัน ถ้าเราเลือกที่จะ “บ่น” เราก็ต้องเป็นฝ่าย “เสียตังค์” ให้กับคนที่แก้ไขมันได้
.
เพราะแก่นของธุรกิจ คือ การแก้ปัญหาบางอย่าง ให้ใครบางคนเสมอ ยิ่งมีปัญหามากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะได้มองหาแนวทางทำธุรกิจใหม่ๆ ก็จะยิ่งมากขึ้น
.
หลายคนพอเจอวิกฤต รีบปรับตัว ดึงข้อดีของมันมาใช้ ก็สามารถเติบโตขึ้น 2-10 เท่าได้
.
หรือ อีกหลายคน พอเจอวิกฤต ก็รีบมองหาโอกาส จนเกิดเป็นธุรกิจใหม่ๆ ได้มากมาย ซึ่งถ้าเรามองกันจริงๆ เราจะเห็นธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะมากๆ ในช่วงนี้
.
เพียงแต่ไม่มีใครทำข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้นเอง
.
ถามว่าทำไมถึงไม่ทำข่าวเรื่องพวกนี้
.
ผมขอเปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้
.
ถ้าวันนี้มีเครื่องบิน 1,000 ลำ สามารถนำเครื่องขึ้น และ ลงจอดยังที่หมายได้ปลอดภัยทุกลำ จะมีคนทำข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัยไหม?
.
คำตอบ คือ "ไม่" จริงไหม?
.
แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดมีเครื่องบินเพียง 1 ลำ เกิดอุบัติเหตุ จนเครื่องบินตก ก็จะมีคนทำเป็นข่าวใหญ่ จนทำให้บางที เราก็ไม่กล้าที่จะขึ้นเครื่องบินไปเลย ทั้งที่จริงๆ มันยังมีอีก 999 ลำ ที่สามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย
.
คำกล่าวหนึ่งที่ผมชอบมากของ วินสตัน เซอร์ซิล ก็คือ “คนที่มองโลกในแง่ร้าย อยู่ท่ามกลางโอกาสใดก็มองว่ายาก คนที่มองโลกในแง่ดี อยู่ท่ามกลางความยากใด ก็มองเห็นโอกาส”
.
การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่โลกสวย แต่คือ การมองหาข้อดี ในสถานการณ์ที่อาจจะไม่สวยงามได้ต่างหาก
.
และนี่คือ สิ่งที่ผมพยายามบอกพี่น้องในคลาส Online Signature Master Class 2021 เสมอ
.
ว่าจริงๆ แล้วคน “สำเร็จ” กับ “ไม่สำเร็จ” ถ้าวัดกันที่ความเก่ง แทบจะไม่ได้ต่างกันเลย แต่มันต่างกันที่มุมมอง และ กรอบความคิด ที่เขาใช้ ปัญหา และ สถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาต่างหาก
.
บรรยากาศในคลาสก็เลยมีแต่การซัพพอร์ตกัน ในทุกๆ วัน ทุกคนจะมาเข้าโพสต์ Winning Day ของตัวเอง ว่าวันนี้ได้ทำอะไรเพิ่มบ้าง พัฒนาอะไรบ้าง เห็นโอกาสอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่แต่ละคนนำมาแชร์กัน ล้วนเกิดจากการมองหาโอกาสในความยาก ที่คนทั่วไปมองไม่เห็น นั่นก็เพราะพวกเขามองด้วยกรอบความคิดที่เป็นบวก
.
# อย่างคุณ ไผ่หลิว ก่อนจะเข้ามาเรียนในคลาส เธอเล่าว่าตัวเองเคยเป็น แอร์โฮสเตส มาก่อน แต่เมื่อโควิด-19 กระหน่ำเข้ามาจนถึงวันที่เธอโดนเลิกจ้าง เธอคิดไม่ออกเลยว่าจะไปทางไหนต่อดี เพราะใครจะไปคิด ว่าอาชีพที่ดูจะมั่นคงและรายได้ดีอย่างแอร์โฮสเตส จะมีวันนี้ได้ แต่ด้วยความที่เธออ่านบทความจากเพจสมองไหลทุกวัน เลยเริ่มมองเห็นโอกาส ลองไปขายน้ำ ขายเสื้อผ้า แต่ก็ยังขายแบบ งงๆ
.
แต่พอเริ่มทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมองปัญหาทุกอย่างเป็นโอกาสมากขึ้น มองหาทางแก้ไขมัน ก็เลยมาขายเครื่องผลิตออกซิเจน ปรากฏว่าขายดีมากๆ จนส่งของให้ลูกค้าแทบไม่ทัน กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวเองเติบโตจากออนไลน์ และ ไม่คิดจะกลับไปหางานประจำอีกเลย
.
เพราะตอนนี้ไม่มีหรอก งานที่ไม่เสี่ยง จะทำธุรกิจ หรือ งานประจำ ก็เสี่ยงเหมือนกันทั้งนั้น ขนาดเป็นแอร์แอร์โฮสเตสยังตกงานได้ ฉะนั้น ต่อจากนี้ ขอเลือกทำงานที่เราบริหารความเสี่ยงได้เองดีกว่า ดีกว่าต้องมารอให้คนอื่นกำหนดความเสี่ยงให้ โดยที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
.
ที่สมัครเข้ามาเรียนคลาส Online Signature ก็เพราะว่าเครื่องผลิตออกซิเจน อัตราการซื้อซ้ำน้อย แรกๆ อาจจะขายได้ดี แต่พอทุกคนมีของกันหมด มันก็ยากจะซื้อซ้ำ ที่สำคัญพอโควิด-19 ดีขึ้น ก็คงขายไม่ได้ ก็เลยมาสมัครเรียนเพื่อฝึกทำออนไลน์ให้เก่งขึ้น และมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
.
# ต่อมาคือคุณเอ เป็นพนักงานประจำคนหนึ่ง เข้ามาเรียนโดยที่ยังไม่มีธุรกิจ รู้แค่ว่าตัวเองเป็นคนทำสไลด์นำเสนอสวย แต่ก็มองไม่ออกว่าจะหาเงินจากมันยังไง จึงเข้ามาเรียนเพิ่มหาวิธีทำเงินจากสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อเข้ามาเรียนได้แค่ 2 วัน แล้วนำสิ่งที่เรียนไปลงมือทำ ก็มีคนทักเข้ามาถึง 5 คน ทำให้เธอเชื่อทันที ว่าธุรกิจไม่ต้องใช้เงินทุนมันทำได้จริงๆ
.
เท่านั้นยังไม่พอ เธอเริ่มมองหาโอกาสอื่นๆ แล้วบังเอิญไปเห็นคุณแม่ของตัวเองทำกุยช่าย ก็เลยลองถ่ายรูปกุยช่ายของคุณแม่ ผนวกกับนำวิชาการเขียนคอนเทนต์ที่ได้เรียนในคลาสไปลองใช้ดู แล้วโพสต์ตามกลุ่มต่างๆ ปรากฏว่าวันแรก มีคนจองหมด 10 ชุด ภายใน 5 นาที และ ขยับขึ้นเป็น 30 ชุดภายใน 10 นาที และเริ่มทำรายได้เพิ่มจากตรงนี้ได้มากขึ้น
.
แล้วคนเราพอเชื่อว่าตัวเองทำได้ เธอก็เริ่มขยายไปรับงานด้านอื่นๆ มากขึ้น ตอนนี้เธอมีความสุขกับการมองเห็นโอกาสใหม่ๆ มาก
.
ถึงกับมาบอกผมว่า “ขอบคุณจริงๆ ที่ทำคลาสนี้ขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ตัวเองโลกแคบมาก หันไปทางไหนก็เจอแต่สังคมเดิมๆ เจอแต่คนบ่นกับปัญหาที่เจอไปวันๆ คิดอะไรไม่ออก ตันไปหมด แต่พอได้มาเรียน ได้เจอสังคมใหม่ๆ ในคลาส มันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย ว่า เฮ้ย จริงๆ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แค่มองโลกให้อีกมุม รู้วิธีที่ถูกต้อง พนักงานประจำอย่างเราก็ประสบความสำเร็จได้”
.
# ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ผมชื่นชมมากๆ คือ หมอหมาด “เจ้าของเพจ Dr.Mard Academy l เยาวชน ครอบครัว ความสุข” ที่บอกกับผมว่า “ก็จริงนะ เวลาเจอปัญหา ถ้าเราแก้ไขมันได้ เราก็ได้ตังค์ ขนาดปัญหาเบสิคๆ อย่าง พ่อแม่มีลูกดื้อ พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่เป็น พี่ก็หาวิธีแก้ให้เขา พี่ก็ได้ตังค์ และ อีกหลายอย่างที่เป็นปัญหาในครอบครัว ที่พี่เอาวิธีการไปแก้ไขให้เขา และเขาก็จ่ายตังค์ให้พี่
.
พ่อแม่ที่เอาแต่ “บ่น” ต้องจ่ายตังค์ให้พี่ ส่วนเวลาลูกพี่ดื้อ พี่ก็หาวิธีแก้ไข พอแก้ไขได้ ก็ไปช่วยแก้ให้คนอื่น พี่ก็ได้ตังค์จากเขา ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะทำจริงจังนะ ไม่คิดว่าจะได้เงินจากมันด้วย เพราะตัวเองก็มีงานสอนที่โรงเรียน มีงานที่โรงพยาบาล และ บริษัทก่อสร้าง อยู่แล้ว
.
แต่พอช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา พ่อแม่ต้องอยู่บ้าน ลูกก็อยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ปัญหาเรื่องมากขึ้น ก็เลยมีคนเข้ามาให้เราช่วยแก้ปัญหาให้เขา จึงทำให้เพจก็โตก้าวกระโดดมากๆ ในช่วงนี้ พอเห็นโอกาสแบบนี้ ก็เลยเริ่มจริงจังกับมันทันที
.
.
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า แค่เราพลิกมุมมองที่มีต่อปัญหา เราก็สามารถเริ่มต้นธุรกิจในช่วงเวลานี้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายคนในคลาสที่ตอนนี้เติบโตกันมากๆ ที่ผมไม่ได้เอามาเล่าให้ฟัง
.
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วโอกาสทางธุรกิจมันเยอะมากๆ ถ้าวันนี้คุณไม่รู้จะเริ่มต้นธุรกิจอะไร ให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ และตั้งคำถามว่าตอนนี้มันมีปัญหาอะไรที่เราแก้ได้บ้าง
.
อย่าคิดว่าธุรกิจบนโลกนี้มีคนทำกันหมดแล้ว เพราะตราบใดที่ปัญหายังไม่หมด ธุรกิจก็ยังเกิดใหม่ได้อีกเสมอ ถึงแม้ว่าจะมีคนเคยทำไปก่อน แต่ถ้าเราทำได้ดีกว่า มันก็ไม่ยากที่จะแซงเขาได้
.
และผมก็บอกกับพี่น้องในคลาสเสมอว่า “ในเวลาที่คนอื่นหยุด คุณแค่เดินไปช้าๆ ก็ยัง “นำหน้า” เขาไปได้ตั้งหลายก้าว เพราะถึงจะอยู่ในช่วงที่ “เศรษฐกิจตกต่ำ” แต่เรายังมีโอกาสพัฒนาตัวเองและธุรกิจให้ “ก้าวหน้า” ได้
.
แล้วเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจกลับสู่สภาพเดิม เราจะเป็น “ผู้นำ” ทันที
.
แต่สิ่งแรกที่คุณจะเปลี่ยนให้คุณมีมุมมองแบบนี้ได้ คือ คุณต้องเปลี่ยนสิ่งที่เสพ เปลี่ยนสังคมที่อยู่ เลือกหนังสือดีๆ อ่าน เลือกคบคนที่เขามองหาแต่โอกาส ไม่ใช่คอยแต่พร่ำบ่น
.
เพราะ “ความคิด” ของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่อะไรเข้าไปในหัวบ้าง ถ้าเราไม่รู้จักใส่ความคิดที่มีมูลค่าเข้าไป แล้วเราจะไปสร้างมูลค่าอะไรได้ ในเมื่อสิ่งที่เรากระทำในแต่ละวัน ล้วนเป็นผลผลิตมาจากความคิดในหัวสมองของเราทั้งนั้น
.
แต่ถ้าเรารู้จักใส่ความคิดที่มีมูลค่าเข้าไป มันก็ไม่ยากเลย ที่คุณจะไปสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลได้อย่างแน่นอน
.
แล้วคุณล่ะครับ เวลาเจอปัญหา คุณเลือกที่จะ Action ยังไงกับมัน ?
ผู้นำ คือ 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
ถึงเจ้าของธุรกิจทุกคน ถ้าวันนี้คุณยังต้องใช้เวลา 80% ของชีวิต ไปกับการระแวงเรื่องค่าแอดว่ามันจะแพงจนเกินเพดานกำไรไหม และ ใช้เวลาอีก 20% ไปกับการเฝ้าสังเกตว่าวันนี้เฟซบุ๊ก จะปรับอัลกอริทึมหรือลดการมองเห็นยังไงบ้าง นี่คือ บทความที่ควรค่าแก่การตั้งใจอ่านอย่างยิ่งครับ
.
เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ จะเปลี่ยน “ค่าแอด” ที่คุณต้องเสียไป ให้กลายเป็น “กำไร” ที่คุณควรได้รับ และ จะทำให้การ ยิงแอด เป็นแค่ “ทางเลือก” ไม่ใช่ “ทางรอด” อีกต่อไป
.
.
นี่คือ เคล็ดลับที่ผมใช้กับการทำธุรกิจออนไลน์มาตลอด 2 ปี ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของผม และ พี่น้องในคลาส Online Signature จากคนธรรมดา ให้กลายเป็นมนุษย์เงินล้านมานับไม่ถ้วนแล้ว
.
ที่สำคัญ คือ มันไม่ใช่เทคนิคยอดมนุษย์ใดๆ แต่มันเป็นเพียงวิธีการอันเรียบง่าย ที่ได้ผลลัพธ์โคตรทรงพลัง เพราะมันจะทำให้คุณไม่ต้องคอยนั่งระแวงเรื่องค่าแอด และ การปรับอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กอีกเลย
.
.
ถ้าคุณติดตามเพจสมองไหลมาสักระยะ คุณจะไม่เคยเห็นผมออกมาบ่นเรื่องค่าแอด หรือ วิ่งตามการปรับอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กเลย นั่นก็เพราะตลอดเวลา 2 ปีที่ผมทำธุรกิจออนไลน์มา ผมไม่เคยได้รับผลกระทบจากมันเลยสักครั้งเดียว ที่สำคัญคือ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมแค่คนเดียว เพราะพี่น้องใน คลาส Online Signature ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน
.
พวกเขาใช้เวลา 80% ของชีวิต ไปกับการคิดกลยุทธ์ในการต่อยอด และ แตกไลน์ธุรกิจ ว่าจะโตธุรกิจยังไง ให้ยอดขายแตะหลักล้านต่อเดือนได้ ส่วนอีก 20% คือ เวลาที่ใช้ไปกับการทำตามเคล็ดลับที่ผมกำลังจะนำมาเปิดเผยในบทความนี้
.
.
Seth Godin นักการตลาดชั้นนำของโลก ได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ปี 2008 ว่า “Content Marketing จะเป็นการตลาดเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ต่อจากนี้” เพราะผู้คนจะวิ่งหนีโฆษณากันมากขึ้น ถ้าไม่เชื่อก็ลองมองย้อนดูตัวเองก็ได้ครับ ว่าทุกวันนี้เวลาคุณจะตัดสินใจซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง คุณเชื่อโฆษณา หรือ เชื่อคอนเทนต์ เชื่อรีวิว มากกว่า ?
.
นั่นหมายความว่า ถ้าวันนี้ธุรกิจของคุณยังพึ่งยอดขายจากการยิงแอด ธุรกิจของคุณก็กำลัง “อ่อนแอ” ลงเรื่อยๆ
.
ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำ คือ การปรับหน้าเพจ จากที่เคยโพสต์รูปสินค้า เขียนแคปชั่น ร่ายคุณสมบัติ แล้วก็ยิงแอด (ซึ่งไม่ได้ผล) ให้อยู่ในรูปแบบนี้เฟซบุ๊กชอบและเปิดการมองเห็นแบบออแกนิคมากที่สุด โดยแบ่งเป็น
.
- คอนเทนต์ให้คุณค่า 80%
- รีวิว 15%
- และ โพสต์ขาย 5%
.
ถามว่าทำไมต้องเป็น 3 องค์ประกอบนี้ นั่นก็เพราะคุณต้องเข้าใจก่อนว่าหน้าที่เดียวของเฟซบุ๊ก นั่นก็คือ การคัดในสิ่งที่คนไม่ชอบทิ้ง แล้วนำส่งเฉพาะสิ่งที่คนชอบไปให้ผู้คนเห็น
.
และในเมื่อผู้คนกำลังหนีโฆษณาสินค้า จึงไม่แปลกที่เฟซบุ๊กจะต้องคัดคอนเทนต์ประเภทนี้ทิ้ง (ถ้าอยากให้คนเห็นก็ต้องจ่ายเงินยิงแอดมา) เพราะถ้าเฟซบุ๊กไม่ทำอย่างนี้ สุดท้ายผู้คนจะพากันเลิกใช้เฟซบุ๊กกันหมดเสียก่อน เพราะมันมีแต่สิ่งที่คนไม่ชอบเต็มไปหมด
.
เพื่อไม่ให้คุณถูกคัดทิ้งก่อนจะไปถึงสายตาของลูกค้า คุณจึงต้องทำแต่คอนเทนต์ที่เฟซบุ๊กเปิดการมองเห็น และ สนับสนุน ตั้งแต่แรก ดังนี้
.
1) คอนเทนต์ให้คุณค่า
.
ถ้าเปรียบเหมือนร้านขายเสื้อผ้า คอนเทนต์ให้คุณค่าก็เหมือน เสื้อผ้าที่แขวนโชว์อยู่ในร้าน ให้ลูกค้าได้เดินเลือก เดินชม ตามใจชอบ
.
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่เราตัดสินใจซื้อสินค้า เราก็มักจะตัดสินใจซื้อ เพราะได้เดินเลือกดูจนถูกใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่ตอนที่พนักงานขายเดินตามหลังแล้วพยายามยัดเยียดขายสินค้าให้กับเราจริงไหม ?
.
แต่น่าแปลกที่พอมาอยู่บนออนไลน์ คนส่วนใหญ่มักชอบเอาแต่ทำโพสต์ขาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการส่งพนักงานไปเดินตามหลังลูกค้า จนสุดท้าย ลูกค้าก็ไม่ชอบ แล้วก็เดินหนีออกจากร้านไป
.
ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องทำ คือ การสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ สามารถสร้างความอยาก และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เอาไว้หน้าเพจให้ลูกค้าเข้ามาเดินชม เลือกดู ด้วยตัวของเขาเอง แล้วเมื่อไหร่ที่ลูกค้าถูกใจ เขาก็จะทักแชทไปขอซื้อสินค้าเอง เหมือนกับการที่เขาหยิบเสื้อผ้าที่ชอบแล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์นั่นแหละ
.
.
2) รีวิว
.
เหตุผลที่เราต้องทำคอนเทนต์ประเภทรีวิว ก็เพื่อให้คอนเทนต์คุณค่าที่เราทำไปแล้วนั้นมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะสิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือ คำพูดจากลูกค้าด้วยกัน มีน้ำหนัก มากกว่า คำพูดของเรา เสมอ
.
แต่คำว่า รีวิว ในที่นี้ ก็ไม่ได้หมายถึงการแคปเจอร์คำชมของลูกค้า แล้วไปโพสต์เฉยๆ นะครับ เพราะรีวิวแบบนั้นมันมีพลังในการโน้มน้าวที่น้อยมาก ถ้าคุณอยากจะให้รีวิวช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ และ โน้มน้าวลูกค้าได้จริงๆ คุณจำเป็นต้องทำคอนเทนต์รีวิวให้อยู่ในระดับที่เข้มข้นมากกว่านี้
.
โดยการทำคอนเทนต์รีวิวนั้นแบ่งออกเป็น 4 Level ตามความเข้มข้น คือ
.
Level 1 คือ รูปภาพ และ ข้อความ บอกสถานะต่างๆ เช่น ยอดขาย รูปส่งของ แชทการสั่งซื้อ
Level 2 คือ รูปภาพ และ ข้อความ ที่บ่งบอกถึงผลลัพธ์จากการใช้งานสินค้าหรือบริการจากลูกค้า
Level 3 คือ รูปภาพ และ ข้อความ ที่มีคำอธิบาย เรื่องราว ที่มาที่ไป และ อารมณ์ร่วม
Level 4 คือ วิดีโอ ที่มีคำอธิบาย เรื่องราว ที่มาที่ไป และ อารมณ์ร่วม พูดง่ายๆ ก็คือ เหมือน Level 3 แต่ทำมาในรูปแบบของ วิดีโอ
.
สาเหตุเพราะรีวิว ในรูปแบบของวิดีโอนั้นจะดูน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะรูปภาพ หรือ ข้อความ สามารถที่จะปลอมแอคเคาท์กันได้ แต่สีหน้า แววตา และ คำพูด ของผู้ใช้งานจริงๆ มันหลอกกันยาก
.
ถ้าที่ผ่านมาคุณทำคอนเทนต์รีวิว แค่ Level 1 กับ 2 ก็ให้ลองทำแบบ Level 3 กับ 4 ดูครับ แล้วคุณจะพบว่าผลลัพธ์ของมันจะดีขึ้นมากกว่าอย่างสิ้นเชิง
.
.
3) โพสต์ขาย
.
พอพูดถึงโพสต์ขาย หลายคนอาจจะคิดว่ามันคือ การเอารูปสินค้า เขียนแคปชั่น บอกคุณสมบัติ เสนอโปรโมชั่น แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เพราะการเขียนโพสต์ขายที่ได้ผลมากที่สุด คือ ต้องเขียนโดยใช้ศาสตร์ Copy Writing หรือ ที่ผมมักจะเรียกว่า “การเขียนโพสต์ขายแบบป้ายยา”
.
อย่างไรก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับโพสต์ขายก็คือ “โพสต์ขาย” ไม่ได้มีหน้าที่ “ขาย”
.
อ้าว !! ชื่อก็บอกอยู่ว่า “โพสต์ขาย” ถ้าไม่ได้มีหน้าที่ขาย แล้วมันมีหน้าที่ทำอะไร ?
.
คุณลองนึกภาพร้านเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่ๆ เวลาคุณไปซื้อเสื้อผ้า คุณตัดสินใจซื้อเพราะตัวเอง หรือ ตัดสินใจซื้อเพราะพนักงานขายครับ ?
.
ใช่ครับ !! ส่วนใหญ่ คือ คุณเดินเลือก (คอนเทนต์) และ ทดลองใส่ (รีวิว) จนกว่าจะถูกใจ แล้วก็เดินไปจ่ายเงินซื้อด้วยตัวเอง
.
เว้นเสียแต่ว่า พนักงานขายเขาเห็นคุณยืนเลือกนานไปหน่อย ไม่ยอมตัดสินใจซื้อสักที เขาก็เลยเดินมาบอกคุณว่า “ถ้าคุณซื้อภายในวันนี้ คุณจะได้รับโปรโมชั่นส่วนลด 30% หรือ ไม่ก็บอกคุณว่าสินค้ากำลังจะหมด ถ้าไม่รีบซื้อตอนนี้ คุณอาจจะไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของมันอีกแล้ว”
.
เมื่อได้ยินอย่างนั้น คุณก็เลยรีบหยิบเสื้อผ้าที่ยืนดูอยู่นานแสนนาน แล้ววิ่งไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ทันที
.
เห็นไหมครับว่า พนักงานขายของร้านเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มียอดขายหลักล้าน เขาไม่ได้มายืนตะโกนขายของให้คุณเหมือนในตลาดนัด แต่เขาแค่มา “กระตุ้น” ให้คุณรีบ “ตัดสินใจซื้อ” ก็เท่านั้น
.
โพสต์ขายก็เช่นกันครับ มันไม่ได้มีหน้าที่ขายเหมือนแม่ค้าที่ตะโกนใส่ลูกค้า แต่โพสต์ขายมีหน้าที่ “กระตุ้น” ลูกค้าที่มี “ความต้องการ” อยู่แล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ (ซึ่งเกิดจากการที่ลูกค้าได้เข้ามาอ่านคอนเทนต์ ดูรีวิว ก่อนหน้านี้) ให้รีบตัดสินใจซื้อทันทีนั่นเอง
.
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมพยายามบอกว่า อย่าเอารูปภาพมาโพสต์ขายแห้งๆ ตรงๆ เพราะมันก็เหมือนการไปยืนตะโกนใส่หูลูกค้า สุดท้ายลูกค้าก็มีแต่จะเดินหนีไปเปล่าๆ
.
.
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะพูดขึ้นมาในใจว่า “ก็รู้แหละ ว่าต้องทำคอนเทนต์ ต้องทำรีวิว ต้องทำโพสต์ขาย แต่ปัญหา คือ มันคิดไม่ออกว่าจะทำคอนเทนต์ยังไง แต่ถึงจะคิดออก แล้วทำออกมาได้ ก็ไม่มีใครทักมาซื้ออยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น บางคนทักมาถามราคา พอบอกก็เงียบหายไปเลยก็มี”
.
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะหลายคนรู้แต่เพียงโครงสร้างการทำคอนเทนต์ แต่ไม่รู้วิธีทำให้คอนเทนต์นั้นทำงานได้ยังไงล่ะครับ ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่มีแต่โครงสวยงาม แต่ปราศจากเครื่องยนต์ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้คุณไปถึงที่หมาย
.
หากคุณอยากให้คอนเทนต์สามารถทำงานหาเงินให้กับคุณได้ ประดุจมีท็อปเซลล์มือทองอยู่ข้างกาย คุณจำเป็นต้องนำจิ๊กซอว์อีก 3 ชิ้น มาเติมเต็มให้สมบูรณ์เสียก่อน
.
.
# จิ๊กซอว์ตัวแรก คือ การขาย
.
คุณอาจจะแปลกใจ ว่าการขายมันเกี่ยวอะไรกับการทำคอนเทนต์ การรีวิว และ โพสต์ขาย เพราะนี่มันในออนไลน์ เราไม่ต้องไปเดินขายลูกค้าแล้วหนิ แค่เรียนการทำคอนเทนต์ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรอ
.
ผมบอกเลยครับว่ามันเกี่ยวข้องกันเต็มๆ และนี่คือ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไปเรียนเขียนคอนเทนต์มาเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำให้คนซื้อผ่านคอนเทนต์ได้สักที
.
สาเหตุก็เพราะคอนเทนต์มันก็เหมือนกับเซลล์แมนที่คุณฝึกให้มันออกไปขายของแทนคุณ แต่คำถาม คือ ถ้าตัวคุณเองยังขายไม่เป็น แล้วคุณจะฝึกเซลล์แมนของคุณให้ขายเป็นได้ยังไง
.
ดังนั้น ถ้าวันนี้คุณยังขายของต่อหน้าไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยครับว่าจะเขียนคอนเทนต์ให้คนอยากซื้อได้ เพราะขนาดต่อหน้ายังขายไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับการขายผ่านตัวอักษรล่ะ จริงไหม ?
.
คุณอยากรู้ไหม ว่าคนที่เขียนคอนเทนต์แค่โพสต์เดียว แต่สามารถทำยอดขาย 7 หลักต่อเดือนได้ โดยไม่ต้องไปตามง้อลูกค้า แถมยังใช้คอนเทนต์เดียวทำเงินให้เรื่อยๆ แบบ Passive Income ได้อีก 5 ปี เขามีเคล็ดลับยังไง ผมบอกเลยครับว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงจิตวิทยาง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ฝึกฝนกันได้
.
เมื่อคุณได้เรียนรู้กระบวนการของมันจริงๆ ละก็ คุณจะมีทรัพย์สินที่คอยทำเงินให้กับคุณไปแบบยาวๆ โดยที่คุณไม่ต้องออกแรงทำงานเลย
.
.
# จิ๊กซอว์ตัวที่สอง คือ การตลาดแบบสมองไหล
.
แม้ว่าจะทำทุกอย่างที่ผมกล่าวมาข้างต้นจนหมดแล้ว แต่สิ่งที่มักจะทำให้หลายคนมาตายตอนจบ ก็คือ การโดนคู่แข่งตัดราคา จนหลายคนถึงกับคิดว่าตลาดออนไลน์มันแดงเดือนจนเกินไป จะเข้ามาทำตอนนี้ก็มองไม่เห็นกำไร และ ถึงแม้จะพอขายได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็สู้ราคาคู่แข่งไม่ได้อยู่ดี
.
หากคุณติดตามเพจสมองไหลมาสักระยะ คุณจะพบว่าผมไม่เคยลดราคาหนังสือแข่งกับใครเลย แถมยังคิดค่าส่งแพงอีกต่างหาก แต่ทำไมยอดขายยังเพิ่มขึ้นทุกเดือน ทั้งที่ไม่ได้มีเพจสมองไหลเพจเดียว ที่ทำคอนเทนต์แนวนี้ และ ไม่ใช่เพจเดียวที่ขายหนังสือ ที่สำคัญ คือ ลูกค้าก็รู้ทั้งรู้ว่าที่อื่นขายถูกกว่า แต่ทำไมเขาถึงยังยอมจ่ายแพงกว่าให้ผม
.
ผมบอกเลยครับว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเกิดจากการวางกลยุทธ์และรากฐานมาอย่างเป็นระบบแล้ว ที่สำคัญ คือ กระบวนการของมันไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด จะเรียกว่าเส้นผมบังภูเขาเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นแล้วใช้ประโยชน์จากมัน
.
ซึ่งผมได้เปิดเผยเรื่องนี้กับพี่น้องในคลาส Online Signature แบบหมดเปลือกไปแล้ว และ ทันทีที่พวกเขารู้เรื่องนี้ ปัญหาคู่แข่งล้นตลาด และ การโดนตัดราคา ก็ไม่ใช่ปัญหาโลกแตกของพวกเขาอีกต่อไป
.
.
# จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย คือ ดาต้า
.
หากวันนี้คุณทำธุรกิจออนไลน์แล้วไม่เคยเอาดาต้ามาใช้ประโยชน์ บอกเลยครับว่าคุณกำลังนั่งทับทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลอยู่ เพราะข้อมูลต่างๆ ที่ลูกค้าให้คุณมา ทั้งข้อความในแชท รายชื่อลูกค้า ที่อยู่การจัดส่ง รายการสินค้า ยอดโอน ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นำมาใช้เพิ่มยอดขาย 2-10 เท่าได้สบายๆ ขอแค่รู้จักนำมันมาใช้ประโยชน์ก็พอ
.
และความลับอีกข้อหนึ่งที่ผมจะบอกก็คือ ดาต้า เหล่านี้สามารถนำมายิงแอดแบบเฉพาะเจาะจงได้ นั่นหมายความว่าการยิงแอดของคุณจะตรงกลุ่มเป้าหมายในระดับบุคคลที่เป็นลูกค้าจริงๆ ไม่มีการสุ่มยิงทิ้งยิงขว้างอีกต่อไป ที่สำคัญ คือ ในยุคนี้การใช้ดาต้ามันง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก ใครๆ ก็ทำได้ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อนเลยก็ตาม
.
.
ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้เปิดเผยแบบหมดเปลือกในคลาส Online Signature Master Class 2021 จนล่าสุดมีนักเรียนหลายคนทักมาบอกผมว่า...
.
.
# “ผมใช้วิธีการขายแบบเสียงย่างเนื้อ ก็สามารถทำยอดขายประกันได้ 3 ล้านภายในเดือนเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากช่องทางออนไลน์ทั้งหมด”
.
คุณอานนท์ ซึ่งทำอาชีพขายประกัน ทักมาบอกผมทันทีที่เรียนจบคอร์สไปเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์
.
.
# คนต่อมาที่เติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กัน คือ คุณชมพู เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายตัวหนึ่ง เธอบอกกับผมว่า
.
“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์ คือ ตอนอายุ 20 ค่ะ แต่ตอนนั้น ทำไปเพราะแค่อยากมีรายได้ ไม่มีทุนโปรโมต ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น ลองผิดลองถูกเอา คือ ตอนนั้นสั่งของมาทดลองใช้เอง ใช้แล้วผิวดีขึ้น ก็เริ่มโพสต์ขายเลย ดั้นด้นขายแบบออแกนิคมา 2 ปีค่ะ ขายใน Shopee เฟซบุ๊ก และ ไอจี ซึ่งตอนนั้นก็ทำแบบขำๆ ตัดภาพเองแบบตลกๆ ก็เลยไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่ และในช่วง 2 ปีนี้ ก็มีลองยิงแอดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีเท่าไหร่
.
จนมา ปีที่ 3 ปีนี้ (ปัจจุบัน) เป็นปีการเปลี่ยนแปลง ช่วง ต้นปี 64 เดือนมกราคม ก็ยังโพสต์ขายอยู่ แบบเรื่อยๆ เดือนมกราคมยอดไลค์ ยอดผู้ติดตามอันน้อยนิด แบบ 2 ปีที่ผ่านมาเลย
.
แต่พอได้มาเรียนในคอร์สนี้ แล้วลองทำ ลองโพสต์ และลองทำตามเทคนิคไปสักระยะ บวกกับมาลองยิงแอดอีกครั้ง คือ งง มาก มันปังค่ะพี่ เป็นครั้งแรกที่ได้แตะออเดอร์วันละ 100 บ้าน ด้วยงบยิงแอดแค่ 90 บาท พอรู้สึกว่ามันดี ก็เลยไปสอนตัวแทนขายต่อค่ะ สอนเค้าแบบบ้านๆ เลย .
.
สรุปคือ ตัวแทนทำตาม นางขายได้ แลดูจะเข้าใจง่ายด้วย คือ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
.
**ผลลัพธ์ในปัจจุบัน
.
2 ปีที่ ขายมา
ปีแรก 62 มีเงินเก็บแค่ 10,000 บาท/ปี
ปีสอง 63 มีเงินเก็บถึง 50,000 บาท/ปี
(ดั้นด้นเอง มึนๆ มั่วๆ)
.
ปีที่สาม (ปัจจุบัน 64) แค่ช่วง 5 เดือนนี้ มีเงินเก็บ เกือบ 1 ล้านบาท (ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ค่ะ)
.
**ความต่างที่ชัดคือ ในระยะ 5 เดือนนี้ ที่ตัดสินใจเติมความรู้ เหมือนได้เบิกเนตร คือ มันต่อยอดได้แบบสุดจริงค่ะ**
.
.
# อีกคนหนึ่งคือ น้องภัค สาวน้อยวัย 19 ปี ที่เข้ามาในคลาส Online Signature ทั้งที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ แต่เมื่อเรียนไปถึงบทที่ 3 ผมก็ให้ทุกคนทำ Workshop ชิ้นหนึ่ง คือ ให้ขายสินค้าของตัวเองโดยใช้เทคนิคที่สอนไป แต่ถ้าใครยังไม่มีธุรกิจของตัวเอง ก็ให้หยิบของในบ้านมาทำ Workshop ไปก่อน ซึ่งน้องภัคก็ไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นกายของตัวเองมาขาย
.
ผลปรากฎว่ามีเพื่อนๆ ในคลาสดูการบ้านที่น้องภัคทำส่ง แล้วก็สั่งซื้อจริงๆ เธอก็เลยลองไปเปิดเพจขายจริงดู จนล่าสุดเธอมาบอกผมว่า “ลองเริ่มขายไปได้แค่เดือนเดียว ยอดขาย 5,000 บาท แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะลองยิงแอดตามเทคนิคที่สอนในคลาสเพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้นอีก”
.
.
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพี่น้องอีกกว่า 300 คน เท่านั้น ที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งถ้าจะให้ผมเล่าเคสทั้งหมดทุกคน ก็คงเขียนเป็นหนังสือเล่มนึงได้ เอาเป็นว่าหากคุณอยากจะรู้ว่าพี่น้องแต่ละคนในคลาสเขาเติบโตก้าวกระโดดขนาดไหน ก็เข้ามาลุยกับพวกเราในคลาส Online Signature ได้ครับ
.
เพราะที่นี่เราอยู่กันแบบสังคมที่สนับสนุนการเติบโตซึ่งกันและกัน ไม่มีใครในคลาสนี้บั่นทอนความฝันของคนอื่น ไม่มีใครหัวเราะหากมีเด็กคนหนึ่งประกาศกร้าวว่าจะทำเงินล้าน มีแต่เชียร์ว่า “ลุยเลย !! เอาเลย !! ” เพราะการทำเงินหลักล้านในสังคมแห่งการเติบโตนี้มันเป็นเรื่องปกติมากๆ
.
ทุกคนในนี้พร้อมที่จะเติบโตสวนกระแสท่ามกลางคนภายนอกที่เอาแต่บ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี จะไปทำอะไรได้...
.
แต่พี่น้องชาว Online Signature คิดเสมอว่า “ในเวลาที่คนอื่นหยุด คุณแค่เดินไปช้าๆ ก็ยังนำหน้าเขาไปได้ตั้งหลายก้าว เพราะถึงจะอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทรุด แต่เรายังโอกาสพัฒนาตัวเองและธุรกิจให้ก้าวหน้าได้ และเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจกลับมาสู่สภาพเดิม เราจะกลายเป็น ผู้นำ ทันที”
.
.
และสุดท้าย แอบกระซิบบอกสำหรับคนที่อยากจะเข้ามาลุยด้วยกันว่า “ผมมีสอนสูตรลับการยิงแอดร้อยให้ได้ล้าน ที่ใครได้เรียนไปแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาบ่นเรื่องค่าแอดแพงอีกเลย” อันนี้เอาไว้เป็นทางเลือกถ้าอยากจะเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นอีก (แต่หลายคนแทบไม่ได้ใช้ เพราะขนาดไม่ยิงแอดยอดขายก็รับไม่ทันแล้ว)
.
ที่สำคัญ สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ ผมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการทำรูปคอนเทนต์แบบง่ายๆ จากมือถือด้วย Canva มาสอนให้ด้วย จะได้ไม่ต้องกังวลว่า “ทำไปแล้วจะไม่มีรูปพรีเมี่ยมใช้”
.
.
# คอร์ส Online Signature Master Class 2021 จากปกติราคา 46,000 บาท ช่วงโปรโมชั่นเหลือเพียง 18,000 บาท
.
แต่เดี๋ยวก่อน !! เฉพาะคนที่แชร์โพสต์นี้ และ สมัครเข้ามา 20 คนแรก คุณสามารถเข้ามาลุยในคอร์สนี้ในราคาเพียงพิเศษ 10,860 บาท เท่านั้น !!
.
.
# พร้อมรับคำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room ที่อาจารย์เจษแห่งสำนัก Ohmpiang นักขายมือโปร ที่สามารถขายของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในแบบที่เหมือนเพื่อนคุยกัน แต่ทุกคนที่ฟังต้องควักกระเป๋าเงินออกมาซื้อแบบ งงๆ ทุกที โดย อ.เจษ จะแอบมา Live เรื่อง “การขาย” ให้ฟังพร้อมเปิดรับคำถามและแจกสคริปต์การขายเรื่อยๆ แบบฟรีๆ
.
.
สมัครเรียน แอดไลน์ @samounglai (ใส่ @ ด้วย) จากนั้นบอกทีมงานว่า “ลุย OSM”
.
แล้วพบกันในคลาสนะครับ ^^
.
.
ปล1. ราคาพิเศษ 10,860 บาท และ คำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room นี้ เฉพาะ 20 คนแรก เท่านั้น !!
.
ปล2. สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% นาน 10 เดือนได้ (บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
.
ปล3 ราคาอาจจะดูแรง แต่ผลตอบแทนที่ได้ แพงกว่าแน่นอน ถ้าเข้ามาเรียนแล้วคิดว่าไม่คุ้ม ผมยินดีคืนเงินให้ ภายใน 7 วัน
ผู้นำ คือ 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
The All-New Mitsubishi Triton / Nissan Navara 2023-2025 มิตซูบิชิ ไทรทัน / นิสสัน นาวาร่า เจนเนอเรชั่นใหม่ ต้องถูกออกแบบ และผลิต ตามแนวทางใหม่นี้
เมื่อวานนี้ กลุ่มพันธมิตร Renault Nissan Mitsubishi ได้ประกาศแผนงานความร่วมมือ และการลดต้นทุน โดยจะเน้นการทำงานร่วมกันในเชิงลึกให้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต จากการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีกว่าเดิม และปฏิเสธแผนรวมกิจการ โดยแนวคิดสำคัญ ในการเดินหน้าสู่อนาคตที่มั่นคงกว่าเดิม ก็คือ แนวคิดที่เรียกว่า ผู้นำ-ผู้ตาม ที่จะให้แต่ละบริษัท ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และมีความได้เปรียบ ในด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต รวมไปถึงการทำตลาด ซึ่ง Nissan จะเป็นผู้นำในตลาดอเมริกาเหนือ จีน และญี่ปุ่น ส่วน Renault จะเน้นไปที่ตลาดยุโรป รัสเซีย อเมริกาใต้ และแอฟริกาเหนือ ส่วน Mitsubishi จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย
สื่อยานยนต์จากออสเตรเลีย CarAdvice รายงานว่า เดิมที ทั้ง Mitsubishi และ Nissan จะพัฒนารถกระบะของตัวเอง คือ Triton และ Navara ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม เทคโนโลยี เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนต่างๆร่วมกัน ที่ลูกค้า ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ จากภายนอก เพื่อลดต้นทุนในการผลิต แต่จากการแถลงข่าวล่าสุดเมื่อวานนี้ รถยนต์รุ่นใหม่ๆของกลุ่มพันธมิตร จะใช้ตัวถังภายนอก ร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่มีรายละเอียดบางจุดแตกต่างกัน ซึ่งแนวทางนี้ ได้ถูกนำไปปฏิบัติจริงแล้ว ดังเห็นได้จากรถตู้อเนกประสงค์ Renault Trafic และ Mitsubishi Express ที่มีความแตกต่างกัน เพียงแค่โลโก้ หน้ากระจัง และฝากระโปรงหน้าเท่านั้น ซึ่งทั้ง Mitsubishi Triton และ Nissan Navara ยังมีเวลาเพียงพอ ที่จะดำเนินการ ตามแนวทางดังกล่าว ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนโฉม เป็นเจนเนอเรชั่นใหม่

ผู้นำ คือ 在 Welldone Guarantee Youtube 的最佳貼文
#ผู้นำ #วิกฤต2020
สภาวะที่คลุมเคลือไม่ชัดเจน และมีวิกฤตแบบนี้ สิ่งที่จะทำให้ผ่านวิกฤตนี้ได้ คือ ความคิดของผู้นำ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม เพราะอยากจะส่งมอบประสบการณ์ของผู้ชายใช้ชีวิตโลดโผน
มาแบ่งปันพูดคุยสไตล์เพื่อน อาจมีคำไม่สุภาพบ้าง ตามสไตล์
ติดตามพูดคุยเป็นกันเองได้ในกลุ่ม
http://bit.ly/2q105u5
ติดตามอัพเดทข่าวสาร
http://bit.ly/2IB0OIY
IG: welldone_guarantee
ติดต่องานได้ที่
[email protected]
ติดตามของใช้ไอเดีย
FB: https://www.facebook.com/welivingup/
https://www.welivingup.com/

ผู้นำ คือ 在 ANIBON Youtube 的最讚貼文
สามารถเข้ามาร่วมพูดคุยได้ที่เซิพเวอร์ Discord ของรายการได้เลยที่ : https://discord.gg/J94gSMS
หมายเหตุ : หากท่านอยากให้ชื่อของตัวเองเด้งดึ๋งขึ้นมาตอนบริจาคเงิน ระหว่าง Live Stream ท่านสามารถทำได้โดยการบริจาคผ่านการให้รหัสบัตรทรูมันนี่ในหน้านี้ : https://tmstreamlabs.cupco.de/ANIBON และการบริจาคผ่านบัญชี PayPal ได้ในหน้านี้ : https://streamlabs.com/Anibonofficial
ตารางคะแนนอนิเมะของรายการอนิบ่น สามารถเข้ามาดูได้ที่นี้ : https://docs.google.com/spreadsheets/...
หรือทางบัญชี MyAnimeList ได้ที่ : https://myanimelist.net/profile/Anibo...
ท่านสามารถติดตามรายละเอียดในการ Donate (บริจาคเงิน) สนับสนุนรายการ ได้ ณ ตรงนี้เลยครับ คือ
ช่องทางที่ 1 : ผ่านการให้รหัสบัตรทรูมันนี่ ได้ที่ลิ้ง : https://tmstreamlabs.cupco.de/ANIBON
ช่องทางที่ 2 : ผ่านธนาคาร ไทยพาณิชย์, เลขที่บัญชี : 406-314195-4, ชื่อบัญชี : นาย ศุภกร จันทร์งาม
ช่องทางที่ 3 : ผ่านบัญชี Paypal, อีเมล์ " anibonofficial@gmail.com ", ชื่อ Supagorn Channgam
สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเดิมและอัพเดทข้อมูลข่าวสารของรายการ และช่องทางในการอัพโหลดคลิปหลักปัจจุบัน คือได้ที่
Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/phuboatanibon
My Twitter : https://twitter.com/anibonofficial
