รู้จัก ผู้ทรงอิทธิพล ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ที่อายุเพียง 29 ปี /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่อายุยังน้อย หลายคนก็น่าจะนึกถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่เริ่มธุรกิจตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัย หรือ อีวาน สปีเกล เจ้าของ Snapchat ที่ปัจจุบันเพิ่งมีอายุได้ 31 ปี
หรือในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ที่สามารถสร้างมหาเศรษฐีได้อย่างรวดเร็ว
เราก็น่าจะคุ้นเคยกับชื่อของวิตาลิก บูเทอริน ผู้สร้างเครือข่าย Ethereum
ที่ปัจจุบัน ยังคงมีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น
แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีเศรษฐีอายุน้อยอีกคนหนึ่ง ที่คนไทยหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหู
เขาคนนี้ ชื่อว่า “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” เป็นนักธุรกิจหนุ่ม วัย 29 ปี
ซึ่งเขาคนนี้ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินเกือบ 3 แสนล้านบาท
แล้วแซม แบงก์แมน-ฟรายด์ ทำธุรกิจอะไร
ให้ตัวเองมีทรัพย์สินแสนล้านก่อนอายุ 30 ปี ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ หนุ่มมาดเซอร์ผู้มาพร้อมกับทรงผมแอโฟร
เขาเกิดและเติบโตที่สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1992
โดยทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้อินในสาขาวิชาที่พ่อและแม่สอน แต่ชอบคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า นั่นจึงทำให้ในช่วงระดับชั้นมหาวิทยาลัย แซมตัดสินใจเข้าเรียนที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ในสาขาวิชาฟิสิกส์
ระหว่างนั้น แซมได้มีโอกาสฝึกงานเป็นนักพัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า “Quantitative Trading”
การฝึกงานนี้เอง ที่ได้จุดประกายให้เขาตัดสินใจว่าจะเอาดีในด้านนี้
ทำให้หลังจากจบการศึกษาที่ MIT แซมก็ได้เข้าทำงานที่ Jane Street Capital ทันที
Jane Street Capital เป็นบริษัททำธุรกิจ Quantitative Trading โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมีอีกธุรกิจ นั่นก็คือ “Liquidity Provider” หรือผู้ให้บริการเสริมสภาพคล่องของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อควบคุม Bid Offer หรือราคาซื้อขายสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพ
แซมได้ทำงานสะสมประสบการณ์อยู่ที่บริษัทแห่งนี้ร่วม 3 ปี จนในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจลาออก เพราะได้ไอเดียแล้วว่าจะนำประสบการณ์จากที่นี่ ไปสร้างธุรกิจของตัวเอง
ทีนี้เรามาดูกันว่าระหว่างทำงาน เขาได้ไอเดียอะไร ?
ในช่วงนั้น หรือในปี 2017 แซมเล็งเห็นว่าผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับคริปโทเคอร์เรนซี แต่โครงสร้างพื้นฐานหรือระบบที่จะมารองรับนักลงทุนในตลาดแห่งนี้ เขายังมองว่าไม่มีศักยภาพมากพอ
โดยหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เขามองเห็นก็คือเรื่องของสภาพคล่อง เพราะเมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนแห่กันเข้ามาให้ความสนใจในคริปโทเคอร์เรนซีเกินกว่าสภาพคล่องทั้งระบบจะรับไหว
มันจะก่อให้เกิด “Spread” หรือส่วนต่างระหว่างราคารับซื้อและราคาเสนอขายมหาศาล
ซึ่งส่วนต่างด้านราคานี้เอง ทำให้เขาคาดการณ์ว่าธุรกิจให้บริการเสริมสภาพคล่องรวมถึงโมเดลการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลนี่แหละจะเติบโตไปได้อีกมากในอนาคต
พอคิดได้แบบนี้ เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Alameda Research ขึ้นทันที ในปี 2017
Alameda Research เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากประสบการณ์การทำงานของแซม
ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่าบริษัทดำเนินธุรกิจเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยทำแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโมเดลคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าหรือการให้บริการเสริมสภาพคล่อง
โดยสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว ก็คือ Alameda Research จะโฟกัสไปที่สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ
และสิ่งที่แซมคาดการณ์ไว้ก็เป็นไปตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา
คริปโทเคอร์เรนซีได้กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจสูงมากในช่วง 4 ปีมานี้
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและให้บริการด้านสภาพคล่องในตลาดแห่งนี้ยังหาได้ยาก
ทำให้ Alameda Research ที่มีความพร้อมทั้งด้านการลงทุนและให้บริการสภาพคล่องจึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ มีสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการ สูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท
และไม่นานหลังจากเห็นว่า Alameda Research สำเร็จ ด้วยความเป็นนักเทรดอยู่แล้ว แซมก็ได้มองไปที่การก่อตั้งธุรกิจ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีเป็นของตัวเอง
ซึ่งเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท “FTX” ร่วมกับ แกรี่ หวัง ซึ่งเข้ามาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีหรือ CTO จนในที่สุดก็ได้เปิดให้บริการ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีในปี 2019
โดยแซม ก็ได้ออกแบบให้ FTX เป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีด้วยคอนเซปต์ที่วางไว้ว่า “Built by Traders, for Traders” หรือเป็นกระดานซื้อขายที่สร้างโดยเทรดเดอร์ เพื่อเทรดเดอร์โดยเฉพาะ
โดย FTX ของแซม จะเป็นการเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ประเภทอนุพันธ์ เป็นหลัก
เนื่องจากตัวเขาเองเป็นคนที่คลุกคลีกับการลงทุนตั้งแต่สมัยฝึกงาน จึงทำให้เขาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเรียกได้ว่าซับซ้อน ลงบนแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น
- Options สิทธิ์ในการซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี
- Leveraged Token โทเคนแบบมีอัตราทด ที่อ้างอิงตามมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล
- Volatility Products อนุพันธ์ที่อิงตามความผันผวนของตลาด
โดยอนุพันธ์เหล่านี้ ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มอำนาจมูลค่าการลงทุนให้แก่ผู้ซื้อขายได้
อย่างตัว Leveraged Token ที่ทำให้เราซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี
ในวงเงินที่มากกว่าเงินตัวเอง เช่น 3X Long Bitcoin Token
คือถ้าเรามีเงิน 10,000 บาท เราสามารถแทงได้ว่าบิตคอยน์จะราคาขึ้น ในวงเงิน 30,000 บาท
แปลว่าถ้ามันเข้าทางเรา เราแทงขึ้นและบิตคอยน์มีราคาเพิ่มขึ้น 1% เราก็จะได้กำไร 3% นั่นเอง
แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนที่มาก ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากตามมาด้วย
เพราะหากอนุพันธ์ที่เราลงทุนไม่เป็นแบบที่เราคาดการณ์
เงินของเราก็จะหายไปในพริบตา เช่นกัน
ซึ่งก็เรียกได้ว่า FTX เป็นเจ้าแรก ๆ ที่โฟกัสผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทนี้ จนสามารถสร้างการเติบโตมาได้จนถึงปัจจุบัน และได้ก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายอนุพันธ์คริปโทเคอร์เรนซีอันดับต้น ๆ ของโลก
หากเรามาดูปริมาณการซื้อขายของแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีของ FTX จะอยู่ในอันดับที่ 4 มีมูลค่าการซื้อขายราว 4.6 แสนล้านบาทต่อวัน มากกว่า Coinbase กระดานซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเป็นรองเพียง Binance, OKEx และ Huobi Global
นอกจากนี้ FTX ก็ยังมีเหรียญเป็นของตัวเอง ชื่อว่า FTX Token หรือ FTT
FTT ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นเหรียญประจำ Exchange คล้ายกับ Binance Coin บน Binance หรือ Bitkub Coin บน Bitkub ซึ่งผู้ถือครอง FTT ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น
- นำ FTT ไปจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการซื้อขายบน Exchange
- นำไปฝากไว้กับระบบเพื่อรับผลตอบแทน
ปัจจุบัน FTX ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.9 แสนล้านบาท โดยแซม ที่เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของ มีทรัพย์สินมากถึง 2.8 แสนล้านบาท
ทำให้เขาได้รับการจัดอันดับเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 274 ของโลก
แถมยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในวงการคริปโทเคอร์เรนซี
ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ในตอนที่เขามีอายุเพียง 29 ปี เท่านั้น..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.forbes.com/sites/bdoherty/2021/05/16/icon-the-untold-story-of-crypto-billionaire-sam-bankman-fried/?sh=6c66ed6e5dcf
-https://www.janestreet.com/
-https://www.alameda-research.com/
-https://ftx.com/en
-https://www.linkedin.com/in/sam-bankman-fried-8367a346/?originalSubdomain=hk
-https://www.forbes.com/profile/sam-bankman-fried/?sh=6117c4244449
-https://www.nasdaq.com/articles/crypto-exchange-ftx-reaches-%2418-billion-valuation-after-raising-%24900-million-2021-07-21
-https://coinmarketcap.com/rankings/exchanges/derivatives/
-https://help.ftx.com/hc/en-us/articles/360052410392-FTT-Staking
ทำให้ สำเร็จ 在 Hero Athletes Facebook 的精選貼文
ธุรกิจออนไลน์ และความหมายของชีวิต
ตั้งแต่สมัยจำความได้เมื่อยังเด็ก อาชีพยอดฮิต (และมีเกียรติ) คือ หมอ วิศวกร ทนาย
เป็นหมอสิ เงินเยอะ - อ้าว ไม่ได้เพราะรักในอาชีพเหรอ
เป็นวิศวกรสิ เงินเยอะ - อ้าว ไม่ได้เพราะรักในอาชีพเหรอ
เป็นทนายสิ เงินเยอะ -อ้าว ...
มันทำให้เราเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วอาชีพแต่ละอาชีพนั้น ต้องทุ่มเทมากแค่ไหนถึงจะไปถึงจุดที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จได้ ต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ในการเรียน การศึกษา บางคนเรียนเกือบ 30 ปี ถึงจะได้เริ่มทำงาน อันนี้มันใช่สิ่งที่ชีวิตมนุษย์คนๆหนึ่งควรจะพบเจอหรือ ?
ไม่ใช่ว่าอาชีพ หมอ วิศวกร ทนาย ไม่โอเค แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ของผมเท่าไร
ถ้าสามารถ Define คำว่า ‘สำเร็จ’ ออกมาได้ สำหรับผมคือ ต้องมีอิสระ ก่อน อย่างแรกเลย ซึ่งอาชีพทั่วๆไปนั้นตกแบบทดสอบผมตั้งแต่ข้อแรก อะไรที่อยุ่ในระบบ ผมแหกหมด อะไรที่อยู่ใน 8-5 ตอกบัตรเข้างานสแกนนิ้วเข้างานคือไม่ใช่ละ ผมไม่คิดว่าคนเราเสียเวลามากขนาดนั้นแล้วต้องได้รับค่าตอบแทนเพียงเท่านี้ ผมคิดว่าเราควรจะได้ค่าตอบแทนตามความขยันของเรามากกว่า มิใช่จำนวนเวลา จำนวนชั่วโมงที่อยู้ในสถานที่ เราควรได้รับการตอบแทนเป็นคุณค่าทางสมองและความคิดสร้างสรรค์
อย่างที่สองต้องมีเวลา ซึ่งการทำงาน 8-5 ก็กินเวลาไปเยอะมากแล้ว ก็ตกบททดสอบไป
ส่วนข้อที่สามอีกคือต้องมีเงิน แต่เงินในสมัยนี้ทำให้เรามิได้มีอิสระในการใช้ชีวิตหรือเลือกอะไรเลย จำได้ว่าตอนเด็กๆอยู่ออสเตรเลียเรียนปริญญาตรี เคยล้างจานได้ชั่วโมงละ 25 เหรียญ เป็น Cash On Hand เลยนะ รับเงินสด ทำวันละ 4 ชั่วโมง เดือนละ 120,000 บาท โดยประมาณ กับเนื้องานคือล้างจานที่ร้านอาหาร เทียบกับ หมอ วิศวะ ทนาย อาจจะ ง่ายกว่า+ได้เงินเยอะกว่า มันทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐศาสตร์ระดับกว้างๆได้ชัดเจน จึงทำให้การทำงานในความเเข้าใจหลายๆคน ไม่ตอบโจทย์กับสมองผมเท่าไร
แต่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ไปไกลมาก เชื่อมทุกอย่างเข้าในปลายนิ้ว อินเตอร์เนตความเร็วสูงเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คอมพิวเตอร์ มือถือ โน๊ตบุค ไอแพด เราสามารถทำอะไรก็ได้บนอินเตอร์เนตแล้ว ไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป อยากทำงานเมื่อไรก็ทำ อยากหาเงินเมื่อไรก็หา อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ ไม่มีใครกำหนดกรอบ
เราจะพบเห็นพฤติกรรมที่เทคโนโลยีและอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเรามากนั้นก็คือการจับจ่ายใช้สอย ช็อปปิ้งออนไลน์ เราไม่ต้องเดินทางไปห้างอีกแล้วเพื่อจะซื้อทีวี หรือเราไม่จำเป็นต้องออกไปที่ร้านอาหารด้วยซ้ำถ้าอยากจะทานข้าว เราแค่กดสั่งที่ปลายนิ้ว
และอย่าลืมว่า ขณะที่เราช็อปปิ้งออนไลน์ จ่ายเงินออก เราเองก็สามารถเป็นเจ้าของร้านออนไลน์เหล่านั้น และรับเงินเข้าได้เช่นกัน ปัจจุบัน แอพพลิเคชั่นต่างๆสะดวกมาก ทั้ง Lazada, Shoppee, Alibaba, AliExpress หรือแม้แต่ Social Media Platform ต่างๆก็รองรับการค้าขายได้ทั้งหมด เช่น Facebook Market Place, Instagram AutoSave Reply (สะดวกมากสำหรับคนขายของออนไลน์) , Line Shop, etc. และระบบโอนเงินทั้งหมดก็สะดวก Online Bangking, Paypal ฉะนั้นถ้าสังเกตุดีๆ เครื่องมืออำนวยความสะดวกทั้งหมดอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลืออยู่ที่การสร้างสินค้ามาขายแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไร
ธุรกิจออนไลน์สามารถตอบโจทย์ 3 ข้อที่ผมถามได้และให้คำตอบที่น่าพอใจใแง่ของ อิสระ เวลา เงิน
หลักๆ ธุรกิจออนไลน์นั้นมี 2 ประเภทหลักคือ
1. Dropshipping (รับสินค้ามาขาย)
2. Own Brand (สร้างแบรนด์ของตนเอง)
ทั้งสองประเภทสร้างเงินได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้าของแบรนด์เท่านั้นถึงจะทำเงินได้ จริงๆแล้ว Dropshipping สามารถสร้างรายได้มหาศาล แถมเราไม่จำเป็นต้องเหนื่อยสร้างแบรนด์ตนเอง เป็นสินค้าที่มีความต้องการ ติดตลาดอยู่แล้ว แต่ความแตกแต่างเลยคือ Mindset ของผู้ประกอบกิจการ (Entrepreneurial Mindset)
Dropshipping ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อผลกำไรโดยเฉพาะ เห็นช่องทางว่าของทางนี้ขายได้ เลยนำไปขายเพื่อทำกำไร ไปต่อยอดธุรกิจอื่น
Own Brand คือการที่ผู้ประกอบการต้องการจะส่งข้อความ ส่งสาร ส่ง Messages อะไรออกไปสู่สังคมสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่มีการส่งเสริมด้านการอนุรักษ์ รณรงค์ผืนป่า เจ้าของแบรนด์รักษ์ป่าไม้ อยากให้ทุกคนหันมาเห็นความสนใจในการอนุรักษ์ตรงนี้ สินค้าอาจจะเป็นในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ Recycle และ ดีไซน์ที่ล้ำสมัย หรือยกตัวอย่างง่ายสุดเลยคือ Hero Athletes ที่เพื่อนๆอ่านกันอยู่ ผมพยายามที่จะส่งข้อความออกไปโดยการใช้ Content ต่างๆ ที่อยู่ใน Social Media และออกมาในแนวเสื้อผ้า Street หรือ Active Wear ต่างๆ รวมทั้ง อุปกรณ์กีฬาต่างๆที่นำสมัย เนื่องจากข้อความที่ผมอยากส่งสารออกไปทั้งด้านการสร้างความแข็งแรงต่อคนในสังคมโดยรวม การต่อต้านสังคม การค้นหาอิสระ การประสบความสำเร็จ การเข้าใจตนเอง การเป็นผู้นำทางด้านแฟชั่นในวงการฟิตเนส ต่างๆ และจริงๆก็จะมี แบรนด์อื่นที่ผมกำลังทำ ซึ่งส่งเมสเสจในแนวเดียวกันออกมาอยู่
ซึ่งการประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand + ทำให้ Brand โตทาง Online ได้ รักในสิ่งที่ทำ มีอิสระทางความคิด ทางด้านเวลา ทางการเงิน ผมพยายานพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ได้เดินตามเส้นทางใคร ไม่ได้เดินตามกระแสสังคม ไม่ได้ทำเพราะความกลัว แต่ทำเพราะความกล้าที่จะแตกต่างออกไป มันทำให้เราประสบความสำเร็จ ลบคำสบประมาทได้ทั้งหมด และกลายเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง มีน้องๆหลายท่านที่ผมช่วยสร้าง Brand และประสบความสำเร็จเงินเข้าเดือนละ 6-7 หลัก และได้ทำสิ่งที่อย่างทำ ไปที่ไหนก็ได้บนโลก
ผมก็รู้สึกยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ว่า การมีตัวตนอยู่ของเราได้สร้างให้ผู้อืนค้นพบอิสระในการใช้ชีวิต และมันทำให้เราได้ค้นพบ
ความหมายของชีวิต
ที่สมบูรณ์แบบที่สุด นั่นก็คือ
การได้ช่วยเหลือผู้อื่น
#heroathletes
#madsproject
#onlinebusiness
#freedom
ทำให้ สำเร็จ 在 Hero Athletes Facebook 的最佳解答
ธุรกิจออนไลน์ และความหมายของชีวิต
ตั้งแต่สมัยจำความได้เมื่อยังเด็ก อาชีพยอดฮิต (และมีเกียรติ) คือ หมอ วิศวกร ทนาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนก็ได้รับสารเดียวกันมา
เป็นหมอสิ เงินเยอะ - อ้าว ไม่ได้เพราะรักในอาชีพเหรอ
เป็นวิศวกรสิ เงินเยอะ - อ้าว ไม่ได้เพราะรักในอาชีพเหรอ
เป็นทนายสิ เงินเยอะ -อ้าว ...
เราได้ยินแบบนี้มาตลอด
มันทำให้เราเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วอาชีพแต่ละอาชีพนั้น ต้องทุ่มเทมากแค่ไหนถึงจะไปถึงจุดที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จได้ ต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ในการเรียน การศึกษา บางคนเรียนเกือบ 30 ปี ถึงจะได้เริ่มทำงาน อันนี้มันใช่สิ่งที่ชีวิตมนุษย์คนๆหนึ่งควรจะพบเจอหรือ ?
ไม่ใช่ว่าอาชีพ หมอ วิศวกร ทนาย ไม่โอเค แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ของผมเท่าไร บางคนเครียดหนักจัดๆอีก
ถ้าสามารถ Define คำว่า ‘สำเร็จ’ ออกมาได้ สำหรับผมคือ ต้องมีอิสระ ก่อน อย่างแรกเลย ซึ่งอาชีพทั่วๆไปนั้นตกแบบทดสอบผมตั้งแต่ข้อแรก อะไรที่อยุ่ในระบบ ผมแหกหมด อะไรที่อยู่ใน 8-5 ตอกบัตรเข้างานสแกนนิ้วเข้างานคือไม่ใช่ละ ผมไม่คิดว่าคนเราเสียเวลามากขนาดนั้นแล้วต้องได้รับค่าตอบแทนเพียงเท่านี้ ผมคิดว่าเราควรจะได้ค่าตอบแทนตามความขยันของเรามากกว่า มิใช่จำนวนเวลา จำนวนชั่วโมงที่อยู้ในสถานที่ เราควรได้รับการตอบแทนเป็นคุณค่าทางสมองและความคิดสร้างสรรค์
อย่างที่สองต้องมีเวลา ซึ่งการทำงาน 8-5 ก็กินเวลาไปเยอะมากแล้ว ก็ตกบททดสอบไป
ส่วนข้อที่สามอีกคือต้องมีเงิน แต่เงินในสมัยนี้ทำให้เรามิได้มีอิสระในการใช้ชีวิตหรือเลือกอะไรเลย จำได้ว่าตอนเด็กๆอยู่ออสเตรเลียเรียนปริญญาตรี เคยล้างจานได้ชั่วโมงละ 25 เหรียญ เป็น Cash On Hand เลยนะ รับเงินสด ทำวันละ 4 ชั่วโมง เดือนละ 120,000 บาท โดยประมาณ กับเนื้องานคือล้างจานที่ร้านอาหาร เทียบกับ หมอ วิศวะ ทนาย อาจจะ ง่ายกว่า+ได้เงินเยอะกว่า มันทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐศาสตร์ระดับกว้างๆได้ชัดเจน จึงทำให้การทำงานในความเเข้าใจหลายๆคน ไม่ตอบโจทย์กับสมองผมเท่าไร
แต่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ไปไกลมาก เชื่อมทุกอย่างเข้าในปลายนิ้ว อินเตอร์เนตความเร็วสูงเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คอมพิวเตอร์ มือถือ โน๊ตบุค ไอแพด เราสามารถทำอะไรก็ได้บนอินเตอร์เนตแล้ว ไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป อยากทำงานเมื่อไรก็ทำ อยากหาเงินเมื่อไรก็หา อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ ไม่มีใครกำหนดกรอบ
เราจะพบเห็นพฤติกรรมที่เทคโนโลยีและอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเรามากนั้นก็คือการจับจ่ายใช้สอย ช็อปปิ้งออนไลน์ เราไม่ต้องเดินทางไปห้างอีกแล้วเพื่อจะซื้อทีวี หรือเราไม่จำเป็นต้องออกไปที่ร้านอาหารด้วยซ้ำถ้าอยากจะทานข้าว เราแค่กดสั่งที่ปลายนิ้ว
และอย่าลืมว่า ขณะที่เราช็อปปิ้งออนไลน์ จ่ายเงินออก เราเองก็สามารถเป็นเจ้าของร้านออนไลน์เหล่านั้น และรับเงินเข้าได้เช่นกัน ปัจจุบัน แอพพลิเคชั่นต่างๆสะดวกมาก ทั้ง Lazada, Shoppee, Alibaba, AliExpress หรือแม้แต่ Social Media Platform ต่างๆก็รองรับการค้าขายได้ทั้งหมด เช่น Facebook Market Place, Instagram AutoSave Reply (สะดวกมากสำหรับคนขายของออนไลน์) , Line Shop, etc. และระบบโอนเงินทั้งหมดก็สะดวก Online Bangking, Paypal ฉะนั้นถ้าสังเกตุดีๆ เครื่องมืออำนวยความสะดวกทั้งหมดอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลืออยู่ที่การสร้างสินค้ามาขายแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไร
ธุรกิจออนไลน์สามารถตอบโจทย์ 3 ข้อที่ผมถามได้และให้คำตอบที่น่าพอใจใแง่ของ อิสระ เวลา เงิน
หลักๆ ธุรกิจออนไลน์นั้นมี 2 ประเภทหลักคือ
1. Dropshipping (รับสินค้ามาขาย)
2. Own Brand (สร้างแบรนด์ของตนเอง)
ทั้งสองประเภทสร้างเงินได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้าของแบรนด์เท่านั้นถึงจะทำเงินได้ จริงๆแล้ว Dropshipping สามารถสร้างรายได้มหาศาล แถมเราไม่จำเป็นต้องเหนื่อยสร้างแบรนด์ตนเอง เป็นสินค้าที่มีความต้องการ ติดตลาดอยู่แล้ว แต่ความแตกแต่างเลยคือ Mindset ของผู้ประกอบกิจการ (Entrepreneurial Mindset)
Dropshipping ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อผลกำไรโดยเฉพาะ เห็นช่องทางว่าของทางนี้ขายได้ เลยนำไปขายเพื่อทำกำไร ไปต่อยอดธุรกิจอื่น
Own Brand คือการที่ผู้ประกอบการต้องการจะส่งข้อความ ส่งสาร ส่ง Messages อะไรออกไปสู่สังคมสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่มีการส่งเสริมด้านการอนุรักษ์ รณรงค์ผืนป่า เจ้าของแบรนด์รักษ์ป่าไม้ อยากให้ทุกคนหันมาเห็นความสนใจในการอนุรักษ์ตรงนี้ สินค้าอาจจะเป็นในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ Recycle และ ดีไซน์ที่ล้ำสมัย หรือยกตัวอย่างง่ายสุดเลยคือ Hero Athletes ที่เพื่อนๆอ่านกันอยู่ ผมพยายามที่จะส่งข้อความออกไปโดยการใช้ Content ต่างๆ ที่อยู่ใน Social Media และออกมาในแนวเสื้อผ้า Street หรือ Active Wear ต่างๆ รวมทั้ง อุปกรณ์กีฬาต่างๆที่นำสมัย เนื่องจากข้อความที่ผมอยากส่งสารออกไปทั้งด้านการสร้างความแข็งแรงต่อคนในสังคมโดยรวม การต่อต้านสังคม การค้นหาอิสระ การประสบความสำเร็จ การเข้าใจตนเอง การเป็นผู้นำทางด้านแฟชั่นในวงการฟิตเนส ต่างๆ และจริงๆก็จะมี แบรนด์อื่นที่ผมกำลังทำ ซึ่งส่งเมสเสจในแนวเดียวกันออกมาอยู่
ซึ่งการประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand + ทำให้ Brand โตทาง Online ได้ รักในสิ่งที่ทำ มีอิสระทางความคิด ทางด้านเวลา ทางการเงิน ผมพยายานพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ได้เดินตามเส้นทางใคร ไม่ได้เดินตามกระแสสังคม ไม่ได้ทำเพราะความกลัว แต่ทำเพราะความกล้าที่จะแตกต่างออกไป มันทำให้เราประสบความสำเร็จ ลบคำสบประมาทได้ทั้งหมด และกลายเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง มีน้องๆหลายท่านที่ผมช่วยสร้าง Brand และประสบความสำเร็จเงินเข้าเดือนละ 6-7 หลัก และได้ทำสิ่งที่อย่างทำ ไปที่ไหนก็ได้บนโลก
ผมก็รู้สึกยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ว่า การมีตัวตนอยู่ของเราได้สร้างให้ผู้อืนค้นพบอิสระในการใช้ชีวิต และมันทำให้เราได้ค้นพบ
ความหมายของชีวิต
ที่สมบูรณ์แบบที่สุด นั่นก็คือ
การได้ช่วยเหลือผู้อื่น
เสื้อ : Hero Athletes Skywalker Collection
กางเกง : MADS.Project Millennial Pants (Coming Soon)
รองเท้า : MADS.Project Millennial Shoes (Comins Soon)
#heroathletes
#madsproject
#onlinebusiness
#freedom
ทำให้ สำเร็จ 在 ประสบความสำเร็จ - Facebook 的推薦與評價
ประสบความสำเร็จ. 525928 likes · 159 talking about this. Sumrej.com พื้นที่แห่งการแบ่งปันความรู้ แนวคิดใหม่ๆ แรงบันดาลใจ ความสุข และความสำเร็จ. ... <看更多>