【2020年度10大 - 《綜藝報》首席影評】
#恭喜陽光普照
共同首席影評 Peter Debruge:
1.《陽光普照》dir. 鍾孟宏 (已上映, Netflix)
2.《天使寶貝法蘭絲》dir. Alex Thompson (2019台北電影節)
3.《靈魂急轉彎》dir. Pete Docter (12/25上映)
4.《Herself》dir.Phyllida Lloyd (2021/1/8上Amazon)
5.《游牧人生》dir. 趙婷 (金馬影展,2021年上映)
6.《小斧頭:紅樹林》dir. Steve McQueen (Amazon)
7.《藍調天后》dir. George C. Wolfe (12/18上Netflix)
8.《白色吻痕》(《接近無限的白》)dir. Hlynur Pálmason (2019金馬影展, friDay影音)
9.《顫役輪迴》dir.Gerard Bush & Christopher Renz (已上映)
10.《芭樂特續集電影:哈薩克青年抱(錯)美國大腿之邁向強國必修課》dir. Jason Woliner (Amazon)
特別提及:《壞教育》dir.Cory Finley (已上映, Catchplay+)
-
共同首席影評 Owen Gleiberman:
1.《小斧頭:紅樹林》dir. Steve McQueen (Amazon)
2.《抱歉我們錯過你了》dir. Ken Loach (已上映)
3.《曼克》dir. David Fincher (Netflix)
4.《72小時前哨救援》dir. Rod Lurie (已上映)
5.《芝加哥七人案:驚世審判》dir. Aaron Sorkin (Netflix)
6.《Never Rarely Sometimes Always》dir. Eliza Hittman (Amazon可租)
7.《畢業舞會》dir. Ryan Murphy (12/11上Netflix)
8.《Minari》dir. Lee Isaac Chung (2021年上映,傳影發行)
9.《隱形人》dir. Leigh Whannell (已上映)
10.《David Byrne's American Utopia》dir. Spike Lee (HBO Max)
-
原始網頁:
https://variety.com/lists/best-movies-2020-streaming/
rod lurie 在 อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก Facebook 的最佳貼文
The Outpost คลั่งฉิบหาย หนังสงครามห่าไรก็ไม่รู้สมจริงเป็นบ้า สนุกมาก สนุกโคตรๆ ไปดูเถอะ 8.5/10
รับชมได้ในโรงภาพยนตร์
.
ใครบ้าหนังสงครามนี่คือจัดไปเลย แนะนำแบบเบอร์สุด นี่คือหนังสงครามที่ต้องบอกว่า สมจริงฉิบหาย ดูจบแทบอยากไปหาหมอโรคจิต The Outpost มันจำลองสมรภูมิคัมเดชออกมาได้เป็นสมรภูมินรกที่หาทางรอดจากห่ากระสุนจากตาลีบันไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจิตใจทหารกล้าเหล่านั้นทำด้วยอะไร ดูจบนี่แทบจะเป็นโรคซึมเศร้าออกมาเลย คือซึมเลยอ่ะ สงสารทหารเหล่านั้นมาก ยิ่งใครดูจนจบเอนด์เครดิตนี่ยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวว่า สงครามมันทำไมโหดร้ายขนาดนี้ เราเองอยู่แนวหลังอาจจะนึกสภาพไม่ออกว่าทหารเหล่านั้นวันๆมันจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่พอดูนี่คือนึกสภาพตัวเองแล้วพูดเลย ไม่น่ารอดตั้งแต่ห้านาทีแรกที่ลงสมรภูมิเลย หนังสมจริงฉิบหาย
.
The Outpost เล่าถึงเรื่องราวของเหล่าเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มเล็กๆแค่ 40-50 นายที่ต้องมารับภารกิจไปตั้งฐานทัพในแอ่งเขา ซึ่งมีภูเขาสูงล้อมรอบ และเต็มไปด้วยกองทหารก่อการร้ายตาลีบันหลายร้อยรายล้อมรอบ ด้วยภารกิจนึงก็คือจะไปสร้างความเข้าใจกับชาวบ้าน ซึ่งมันเป็นยุทธภูมิที่รายล้อมไปด้วยห่ากระสุนจากตาลีบันที่พร้่อมจะระดมยิงสาดกระสุนเข้าใส่ตลอดเวลา มองหาทางรอดยากเต็มที หัวจิตหัวใจมันต้องแกร่งขนาดไหนก็ไม่รู้ถึงจะไปทำหน้าที่ตรงนั้นได้ แต่ละวันก็มาพร้อมห่ากระสุน ขนาดจะอาบน้ำเข้าส้วมยังโดนสาดกระสุนเข้ามาแบบพร้อมตายได้ทุกเมื่อ เนื้อหาคร่าวๆก็เท่านี้แหละ แต่รายละเอียดหนังเค้าทำออกมาดีมากนะครับ
.
ที่ต้องชมก่อนเลยก็คือโปรดักชั่นความสมจริงของหนัง และงานด้านภาพนี่แหละ ที่ใช้ลองเทคหลายช่วงมาก มันเลยเหมือนการจำลองเหตุการณ์เสมือนจริงราวกับว่าเราเข้าไปอยู่ในสมรภูมิรบจริงๆ ช่วงต้นๆเนี่ย ตอนห่ากระสุนแรกเข้ามาก็ใจคอหายแล้ว แต่หนังก็ยังพาเราไปสำรวจจิตใจของนายทหารบางคนที่เพิ่งมาเจอเรื่องแบบนี้ บางคนนี่แทบจะเป็นบ้าไปเลย ไหนจะลูกเมียก็คิดถึง เดินๆอยู่ระเบิดลง ไม่บ้าคราวนี้จะไปบ้าคราวไหน หนังมันจะปูเรื่องในระดับนึง แต่พอช่วงพีคคือราวๆร่วมๆเกือบหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังเนี่ย ไม่รู้ผู้กำกับมันบ้าพลังมาจากไหน โอ้โฮ อีดอก สาดกระสุนทั้งเรื่อง ยังรัวๆ ระเบิดตู้มๆ มุมกล้อง งานภาพดีมากก และเหนือสิ่งอื่นใด บันทึกเสียง ซาวด์มิกซ์ เสียงกระสุน เฟี๊ยบ เฟี๊ยบ! คือดูแล้วสะดุ้งและหัวใจวาบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย นักแสดงแสดงกันแบบสมจริงสมจังมาก สก็อต อีสวู๊ด ลูกชายปู่คลินท์นี่คือโดดเด่นและมีภาพจำหลายภาพ โอลันโด บลูม นี่มาแสดงให้พอหายคิดถึงไปเลย
.
ผู้กำกับ Rod Lurie เลือกที่จะถ่ายทำด้วยระบบภาพแบบลองเทคในหลายช่วงมาก ภาพสงครามมันเลยสมจริงมาก คือถ้าใครโหยหาหนังสงครามแบบดิบๆฮาร์ดคอร์ไปดูเรื่องนี้จะสะใจมาก เพราะทั้งภาพและเสียงอยากจะบอกเลยว่านี่แหละงานหนังสงครามระดับเวิลด์คลาสของจริง บิวท์อารมณ์ให้เรารู้สึกหวาดกลัวสงครามไปเลย สภาพจิตใจของนายทหารบางคนกับเหล่าเพื่อนพ้อง ที่จะต้องมานั่งเห็นเพื่อนรักล้มหายตายจากไปจากสงคราม รวมไปถึงความเจ็บปวดจากบาดแผล บางคนเพื่อนโดนยิงสมองกระจุยต่อหน้าสมองกระเด็นเข้าปากตัวเองอ่ะ เราคนดูนี่คือดูแล้วหดหู่มาก ก็คิดในใจนะ มันจะทำสงครามกันไปทำห่าอะไรก็ไม่รู้ มันมีแต่สูญเสียทั้งนั้นเลย ดูจบแล้วเหมือนจะเป็นโรค PTSD ไปเลย ตอนจบเค้ามีฟุตเตจสัมภาษณ์นายทหารจากสมรภูมินี้มาเล่าให้ฟังด้วย ดูจบนี่คือนั่งซึมไปเลย หดหู่ใจมาก
.
หนังดีมากกก ดีมากๆจริงๆครับ สมจริงและก็หดหู่จริงครับ ระบบเสียงคือดีมาก แนะนำให้ไปดูในโรงนะครับ งานดีๆแบบนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เอาไปเลย 8.5/10 ครับ!
rod lurie 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳解答
The Outpost (2020) เข้าฉายแล้ววันนี้
• ไม่เคยอ่านหนังสือแต่เห็นคนชมกันเยอะมากว่าเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่สร้างออกมาได้ซื่อสัตย์กับงานเขียน แต่ไม่รู้ว่างานเขียนจะใส่สีหรือเพิ่มความกล้าหาญขนาดไหน อย่างไรก็ตามผลงานและการมอบเหรียญกล้าหาญก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว
• สร้างจากเรื่องจริงของสมรภูมิคัมเดซ (Battle of Kamdesh) ที่ทหารอเมริกัน 54 นาย ถูกตาลีบันกว่า 300 คนล้อมโจมตี
• จำได้ว่าอ่านคอมเม้นต์ในตัวอย่างหนัง ทุกคนสงสัยคล้ายกันหมดว่าทหารที่ไหนจะไปตั้งฐานที่มั่นตรงแอ่งเขา เป็นจุดต่ำที่มีภูเขาสูงล้อมรอบ ชนิดที่ข้าศึกง่ายต่อการโจมตี แล้วทหารก็ยากจะรับมือเพราะอยู่ที่ต่ำกว่า ดูจนจบก็ยังงงว่าคิดอะไรไปตั้งตรงนั้น
• ฉากแอ็คชั่นเล่าแบบใช้มุมมองสายตาจากทหารอเมริกัน อยู่ในฐานที่มั่นล้วน ๆ เลยได้ฟีลของการถูกข้าศึกระดมยิงแบบโงหัวไม่ขึ้น
• ดูจบแล้วอยากได้รถฮัมวี่ของทหารเลย เวรี่กันกระสุนชั้นดี เวลาดูเจมส์ บอนด์ อยู่ในรถกันกระสุนแล้วดูโม้ ๆ แต่ฮัมวี่ในหนังทหารมันดูจริงอ่ะ ฮ่าๆๆๆ
• ชอบที่ไม่ค่อยเสียเวลาไปดราม่าตัวละครด้วย มุ่งไปที่ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์อย่างเดียวเลย ฉากสนามรบก็ทำออกมาสมจริง
• ตอนท้ายมีสัมภาษณ์ทหารที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น อย่าเพิ่งรีบลุกออกจากโรงกันล่ะ
-------------------------------------
เห็นสัมภาษณ์ทหารตอนเครดิตขึ้นแล้วเข้าใจเลยว่าฐานที่มั่นนี้เป็นที่ตั้งนรกอย่างไร มีภูเขาล้อมรอบเปิดโอกาสให้ตาลีบันซุ่มยิงจากที่สูงได้ทุกทิศทาง แล้วพวกตาลีบันก็หาโอกาสมาโจมตีได้แทบจะทุกวัน บางวันก็มากันไม่กี่คน จนถึงเหตุการณ์ใหญ่คือมากัน 300 คน ซึ่งต่อให้เทพมาจากไหนก็ไม่มีทางตั้งรับได้เพราะชัยภูมิเสียเปรียบอย่างรุนแรง แน่นอนว่าทหารอเมริกันทำได้แค่ตั้งรับถ่วงเวลารอการสนับสนุนทางอากาศ
.
ถ้าจะหาหนังสงครามแนวสมจริงสุด ๆ ก็ต้องเรื่องนี้แหละ คุณจะได้เห็นพลทหารวิ่งส่งกระสุน ได้เห็นการยิงคุ้มกันเป็นเรื่องเป็นราว การขออนุมัติยิงปืนครก พวกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสนามรบสมจริงหมดโดยเฉพาะจุดที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนและเช็คกระสุน ระหว่างรบจะเห็นการตะโกนเตือนว่าเป็นพวกเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญที่หนังไม่ละทิ้งไป ถ้าดูในโรงก็เต็มอิ่มกับเสียงกระสุนจากลำโพงรอบทิศทางที่แค่หลับตาก็จินตนาการทิศทางของกระสุนได้เลย
.
อีกอย่างที่ค่อนข้างชอบคือหนังไม่บิ๊วดราม่าความสัมพันธ์ในกลุ่มทหารมากนัก มุ่งเน้นไปที่ภารกิจของเหตุการณ์นั้นที่ทำให้เกือบทุกคนได้เหรียญเชิดชูเกียรติยศ พวกตัวเอกมีวีรกรรมความกล้าหาญกันหมด เป็นหนังที่เหมาะมากสำหรับคนชอบแนวปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะที่เน้นความสมจริง
Director: Rod Lurie
based on the book 'The Outpost: An Untold Story of American Valor': Jake Tapper
screenplay: Paul Tamasy, Eric Johnson
Genre: action, war, history
7.5/10