รู้จัก BIG3 แห่งวงการ ที่ปรึกษาธุรกิจ McKinsey BCG Bain /โดย ลงทุนแมน
บริษัทที่ปรึกษา นั้นมีอยู่หลายประเภท
แต่ถ้าพูดถึงผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ (Management Consulting)
คนส่วนใหญ่ คงต้องนึกถึง บริษัทยักษ์ใหญ่ 3 ราย
ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “BIG3” ของวงการ
BIG3 บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ คือใคร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
บริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
และเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น หลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หรือ Great Depression ที่เกิดขึ้นช่วงปี 1929-1933
สาเหตุเนื่องจาก หลายบริษัทต้องการความช่วยเหลือ ทั้งด้านทิศทางกลยุทธ์, การบริหารจัดการต้นทุน รวมไปถึงการลงทุน เพื่อเร่งฟื้นตัวจากวิกฤติในขณะนั้น
เวลาผ่านไปเกือบร้อยปี สถานการณ์ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นและตลอดเวลา
ก็ยิ่งทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการที่ปรึกษาที่น่าเชื่อถือ มาช่วยให้สามารถก้าวตามทันตลาดหรือคู่แข่งได้
ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทที่เป็นกลุ่มผู้นำของวงการที่ปรึกษาธุรกิจ ประกอบไปด้วย 3 ราย ได้แก่
- McKinsey & Company
- Boston Consulting Group
- Bain & Company
บริษัทที่อายุมากสุดในกลุ่ม คือ “McKinsey & Company”
McKinsey ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1926 โดยคุณ James McKinsey
ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนบัญชี แต่เกิดไอเดียทำธุรกิจที่ปรึกษา โดยนำหลักการทางบัญชีมาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเสนอแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท
ต่อมา McKinsey ก็ได้พัฒนาองค์ความรู้เฉพาะทาง เกี่ยวกับธุรกิจประเภทต่าง ๆ เพิ่มเติม
ทำให้บริษัทมีชื่อเสียง ในเรื่องการมีผู้เชี่ยวชาญ ครอบคลุมแทบทุกอุตสาหกรรม
นอกจากนั้น บริษัทได้ใช้นโยบายที่เรียกว่า One-Firm Partnership
ซึ่งสำนักงานทุกสาขา จะใช้วัฒนธรรมองค์กรเดียวกัน และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ
ทำให้พนักงานของ McKinsey มีมาตรฐานสูง ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในประเทศใดก็ตาม
ปัจจุบัน McKinsey มีพนักงานทั้งหมดราว 30,000 คน ใน 130 เมืองทั่วโลก
โดยอดีตพนักงาน McKinsey ที่เราอาจคุ้นชื่อกัน เช่น
คุณ Sundar Pichai ปัจจุบันเป็น CEO ของ Google
คุณ Sheryl Sandberg ปัจจุบันเป็น COO ของ Facebook
บริษัทต่อมา คือ “Boston Consulting Group” หรือ BCG
BCG ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1963 โดยคุณ Bruce Henderson
ซึ่งเดิมทีทำงานอยู่บริษัทที่ปรึกษา ชื่อว่า Arthur D. Little แต่ต่อมาตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง
BCG เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง จากการใช้ข้อมูลปัจจัยภายนอก มาแนะนำกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด ซึ่งแตกต่างจากที่ปรึกษารายอื่นในอดีต ที่ส่วนใหญ่วิเคราะห์จากปัจจัยภายในของบริษัทเป็นหลัก
ตัวอย่างเครื่องมือที่ BCG คิดค้นขึ้น และหลายคนอาจเคยใช้งาน คือ Growth-Share Matrix
ซึ่งช่วยให้บริษัทเลือกจัดสรรทรัพยากร ไปในธุรกิจที่น่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า
โดย BCG แบ่งประเภทธุรกิจ เป็นตาราง 4 ช่อง ตามอัตราการเติบโตของตลาด และส่วนแบ่งตลาด ดังนี้
- Cash Cows ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดสูง แต่ตลาดเติบโตต่ำ
- Stars ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดสูง และตลาดเติบโตสูง
- Question Marks ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดต่ำ แต่ตลาดเติบโตสูง
- Dogs ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดต่ำ และตลาดเติบโตต่ำ
ปัจจุบัน BCG มีพนักงานทั้งหมดราว 22,000 คน ใน 90 เมืองทั่วโลก
โดยอดีตพนักงาน BCG ที่ประสบความสำเร็จ เช่น
คุณ Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของประเทศอิสราเอล
คุณ Indra Nooyi อดีต CEO ของ PepsiCo
บริษัทสุดท้าย คือ “Bain & Company”
Bain ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1973 โดยคุณ Bill Bain
ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของ BCG ที่ออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
Bain มีชื่อเสียงในเรื่องคำปรึกษาด้านการลงทุน และดีลเข้าซื้อกิจการ
โดยมีลูกค้ากองทุน Private Equity ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 75% ของตลาด
ซึ่ง Bain ถือเป็นที่ปรึกษารายแรก ๆ ที่คิดค่าบริการตามผลลัพธ์ของโครงการ ทำให้บริษัทสามารถร่วมประสบความสำเร็จไปกับลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว จนได้รับงานอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน Bain มีพนักงานทั้งหมดราว 9,000 คน ใน 59 เมืองทั่วโลก
โดยอดีตพนักงาน Bain ที่หลายคนน่าจะรู้จัก เช่น
คุณ Mitt Romney อดีตผู้ท้าชิง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากพรรครีพับลิกัน ในปี 2008 และ 2012
คุณ Susan Wojcicki ซึ่งเป็น CEO ของ YouTube
แล้วทำไมทั้งสามบริษัท ถึงครองตำแหน่ง BIG3 ได้ ?
จุดแข็งของ McKinsey, BCG และ Bain
คือ เครดิตความน่าเชื่อถือ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน
ทำให้พวกเขามีฐานลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก
และสามารถคิดค่าบริการได้ค่อนข้างสูงกว่าตลาด
พอเป็นเช่นนี้ บริษัท BIG3 จึงสามารถจ่ายเงินเดือนได้ในระดับสูง
ทำให้พนักงานเก่ง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก อยากสมัครเข้าทำงานด้วย
ส่งผลให้ บริษัทมีผลงานที่ดีต่อเนื่อง และได้รับการยอมรับจากลูกค้าเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
จนยากที่ผู้เล่นรายอื่น จะเข้ามาแย่งชิงตำแหน่ง BIG3 ไปได้
ซึ่งลักษณะธุรกิจที่อาศัยความได้เปรียบจากชื่อเสียงและการได้รับการยอมรับ ก็จะคล้าย ๆ กับกรณีของ “Big4” ในวงการตรวจสอบบัญชี อย่าง EY, PwC, KPMG และ Deloitte
เรามาลองดูรายได้ของแต่ละบริษัท เมื่อปี 2019
- McKinsey มีรายได้ 325,000 ล้านบาท
- BCG มีรายได้ 266,000 ล้านบาท
- Bain มีรายได้ 133,000 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กลุ่มที่ปรึกษาธุรกิจ BIG3 จะมีรายได้สูงติด 20 อันดับแรกของตลาดเลยทีเดียว
จากเรื่องนี้ เราอาจพอสรุปได้ว่า
ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ เป็นต้นทุนทางธุรกิจที่มีความสำคัญมาก
ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ย่อมมีโอกาสเสนอขายสินค้าหรือบริการได้มากกว่า
ซึ่งทำให้บริษัทเติบโต และครองส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกรณีของ BIG3 ที่ปรึกษาธุรกิจ ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
และเป็นผู้นำของตลาด มานานหลายสิบปี
หรือกระทั่งบางราย เกือบร้อยปีแล้ว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://strategycase.com/the-big-3-consulting-firms-mckinsey-bcg-bain/
-https://igotanoffer.com/blogs/mckinsey-case-interview-blog/big-3-consulting-firms-mbb
-https://en.wikipedia.org/wiki/Big_Three_(management_consultancies)
-https://www.mckinsey.com/about-us/overview
-https://www.bcg.com/about/about-bcg/overview
-https://www.bain.com/about/what-we-do/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Management_consulting#History
pwc wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
รู้จัก Jim Chanos นัก short sell ที่ทำกำไรหมื่นล้าน จากคดี Enron /โดย ลงทุนแมน
การ “short sell” อธิบายง่ายๆ คือการยืมหุ้นของบริษัทหนึ่งมาขาย
ซึ่งมันสามารถทำกำไรได้มาก ถ้าหากว่าในอนาคตอันใกล้ ราคาหุ้นของบริษัทนั้นลดต่ำลงอย่างมาก
และถ้าพูดถึงเจ้าพ่อแห่งการ short sell
“Jim Chanos” คงเป็นหนึ่งคนที่ต้องพูดถึง
เขาคนนี้ คือคนที่ทำการ short sell หุ้นของบริษัท Enron
อดีตบริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลก
จนสามารถทำกำไรหลัก “หมื่นล้านบาท”
Jim Chanos คนนี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Jim Chanos เกิดในปี 1957 ที่รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ครอบครัวของเขาเป็นชาวยิว ที่อพยพมาตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
โดยคุณพ่อและคุณแม่ของเขาทำธุรกิจร้านซักแห้ง
Jim Chanos จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์และการเมืองจาก Yale University
และเริ่มทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 1982 ก่อนที่จะมาทำงานเป็นนักวิเคราะห์ในเวลาต่อมา
โดยความถนัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาวุธลับของเขา คือ การวิเคราะห์บริษัทที่พื้นฐานดีเกินกว่าความเป็นจริงเพื่อทำการ “short sell” หรือ ก็คือ การยืมหุ้นมาขายที่ราคาสูง แล้วรอซื้อหุ้นตัวนั้นในราคาต่ำ
ปี 1985 เขาได้ก่อตั้ง Kynikos Associates
ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในธุรกรรม short sell
โดยกลยุทธ์การลงทุนของเขาคือ มองหาความผิดปกติหรือความไม่ชอบมาพากลในงบการเงินของบริษัทต่างๆ เพื่อทำการ short sell หุ้นของบริษัทนั้นนั่นเอง
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัท “Enron” บริษัทพลังงาน ที่ฮอตที่สุดของสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างปี 1996-2000
Enron ก่อตั้งขึ้นในปี 1985
โดยกลยุทธ์ของบริษัท คือ การเข้าไปซื้อบริษัทต่างๆ
เพื่อขยายธุรกิจให้ครอบคลุมพลังงานหลากหลายรูปแบบ
โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซ ไฟฟ้า รวมไปถึงธุรกิจสื่อสาร และธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษ
ช่วงก่อนที่จะล้มละลาย Enron เคยมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
ด้วยมูลค่ามากระดับนั้น ทำให้ Enron ถูกจัดให้เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 7
รวมทั้งยังเคยได้รับการโหวตให้เป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมดีเด่นที่สุด 6 ปีซ้อน ในช่วงระหว่างปี 1996-2001
ในช่วงระหว่างปี 1996-2000 รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยเพิ่มขึ้นจาก 400,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ 3,000,000 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 750% ในระยะเวลาแค่ 5 ปี
Jeffrey Skilling อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท
เคยบอกกับนักลงทุน และนักวิเคราะห์ว่า
“ธุรกิจของเราไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย Enron ทำธุรกิจง่ายๆ และชัดเจน ใครที่ยังสงสัยในธุรกิจของ Enron แสดงว่า เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักเราอย่างแท้จริง”
ในตอนนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไว้วางใจ
และให้ความเชื่อมั่นในการเติบโตของ Enron
แต่ Jim Chanos กลับไม่คิดเช่นนั้น
เขาเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้ว Enron อาจไม่ได้มีรายได้มากมายมหาศาลอย่างที่เห็น
และเบื้องหลังธุรกิจของ Enron ก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนคิด
หลังจากที่เขาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ผ่านงบการเงินของบริษัท พฤติกรรมการทยอยขายหุ้นของผู้บริหารในเวลานั้น และข้อมูลเชิงลึกอีกหลายอย่าง
เขาก็เริ่มมั่นใจแล้วว่า ข้อสังเกตที่เขาตั้ง มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ..
เพราะแท้จริง Enron ไม่ได้มีทรัพย์สินอย่างโรงไฟฟ้า และท่อส่งก๊าซอย่างที่บริษัทกล่าวอ้าง เพราะแท้จริงแล้ว Enron เป็นเพียงธุรกิจที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ผู้ที่ต้องการซื้อขายสินค้าด้านพลังงานเท่านั้น
ที่สำคัญ Enron ยังทำการตกแต่งงบการเงิน รวมทั้งบันทึกผลกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นผลกำไรจริง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ Jim Chanos จึงเริ่มทำการ short sell หุ้นของ Enron ในช่วงที่ราคาหุ้น Enron อยู่ที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แม้ว่าช่วงนั้นนักวิเคราะห์หลายรายที่ยังคงเชื่อมั่นใน Enron จะคาดการณ์กันว่าราคาหุ้นของ Enron จะขึ้นไปถึง 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
แต่แล้วความจริงทุกอย่างก็เปิดเผย..
Enron ไม่ได้มีรายได้และกำไรตามที่บันทึกไว้จริงๆ
ทำให้ราคาหุ้น ปรับลดลงจนเหลือเพียง 0.61 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในวันสุดท้ายของการซื้อขาย
โดยที่ Jim Chanos ทำกำไรจากการ short sell หุ้น Enron ในครั้งนี้ ไปกว่า 15,000 ล้านบาท
การล้มละลายของ Enron ในเวลานั้น เป็นการล้มละลายที่มีมูลค่าสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ากว่า 2.2 ล้านล้านบาท และทำให้พนักงานเกือบ 3 หมื่นคน ต้องตกงานทันที
บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้
คือการทำธุรกิจอะไรก็ตามถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
สุดท้ายมันก็จะจบไม่สวยแบบกรณี Enron อยู่ดี
และมันก็มีคนที่คอยจ้องจะจับผิดธุรกิจที่ไม่สุจริตแบบนี้เสมอแบบ “Jim Chanos”..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
บริษัทที่ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีให้ Enron ในเวลานั้นชื่อว่า Arthur Andersen ซึ่งอดีตเคยเป็น “Big 5” แห่งวงการตรวจสอบบัญชีระดับโลก
โดย Arthur Andersen ได้ร่วมรู้เห็นเป็นใจในการอนุมัติงบการเงินให้แก่ Enron จนนำมาซึ่งหายนะของบริษัทในเวลานั้น
สุดท้าย Arthur Andersen ก็ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตรวจสอบบัญชีและปิดกิจการลงในที่สุด จึงทำให้เหลือเพียงแค่บริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลกอย่าง PricewaterhouseCoopers (PwC), Deloitte, EY และ KPMG ที่เรารู้จักกันในชื่อ “Big 4” ในทุกวันนี้นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jim_Chanos
-https://en.wikipedia.org/wiki/Enron
-https://www.theguardian.com/business/2001/nov/29/corporatefraud.enron1
-https://www.forbes.com/2002/01/15/0115enron.html?sh=5bf607e13c9c
-https://www.youtube.com/watch?v=NwUMzg0rrag
-https://en.wikipedia.org/wiki/Arthur_Andersen
-https://www.finance-monthly.com/2017/10/the-top-10-greatest-stock-market-trades-ever/5/#:~:text=As%20Chanos%20positioned%20himself%2C%20he,)%2C%20Kynikos%20initiated%20a%20short.
-https://edition.cnn.com/2013/07/02/us/enron-fast-facts/index.html#:~:text=(CNN)%20Here%27s%20a%20look%20at,Estimated%20losses%20totaled%20%2474%20billion.
pwc wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
กรณีศึกษา ธุรกิจจัดอันดับเครดิต ที่ครองตลาดโดย 3 ราย /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงตลาดที่มีผู้แข่งขันน้อยรายในวงการการเงินโลก
หลายคนคงนึกถึง Big 4 แห่งวงการตรวจสอบบัญชี
ที่มี Deloitte, PwC, EY และ KPMG เป็นรายใหญ่ในตลาด
แต่รู้หรือไม่ว่า มีอีกตลาดที่ถูกครองโดยบริษัทเพียง 3 ราย
นั่นก็คือ ตลาด “จัดอันดับเครดิต”
3 บริษัท ที่ว่านี้คือบริษัทอะไรบ้าง
แล้วอะไรที่ทำให้ 3 บริษัทนี้ ยึดพื้นที่ในตลาดจัดอันดับเครดิตได้เกือบทั้งหมด?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
บริษัทจัดอันดับเครดิต หรือ Credit Rating Agencies (CRAs)
บริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่จัดอันดับความสามารถในการชำระหนี้คืน ของตราสาร หรือผู้ออกตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ เช่น หุ้นกู้, พันธบัตรรัฐบาล
การจัดอันดับ จะออกมาในรูปแบบของ “เรตติ้ง” ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ ของผู้ออกตราสารทางการเงินนั้นๆ
โดยเรตติ้งจะเริ่มตั้งแต่ระดับสูงสุดที่ AAA คือ ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระน้อยที่สุด
ไปจนถึง D คือ มีโอกาสสูงในการผิดนัดชำระ
(แต่ละบริษัท อาจมีการแบ่งระดับเรตติ้งแตกต่างกัน)
นอกจากการให้เรตติ้งกับตราสารทางการเงิน
บริษัทเหล่านี้ ยังสามารถให้เรตติ้งกับรัฐบาลประเทศต่างๆ
เพื่อสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้คืนของประเทศนั้นๆ ด้วย
คำถามต่อมาคือ แล้วบริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ทำรายได้อย่างไร?
รายได้หลักๆ ของธุรกิจนี้มาจาก
1. รายได้จากการ “เก็บค่าธรรมเนียมในการประเมินเครดิต” จากผู้ออกตราสารทางการเงิน
2. รายได้จากการ “ขายข้อมูลเครดิต” ที่ได้จากการรับประเมิน และข่าวสารต่างๆ ให้กับนักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการข้อมูล ผ่านบริการอย่างเช่น ระบบสมาชิก (Subscription)
ที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 95% ของตลาดจัดอันดับเครดิต ถูกครอบครองโดยบริษัทเพียง 3 ราย เท่านั้น
บริษัท 3 รายที่ว่า นั่นก็คือ
1. S&P Global Ratings
2. Moody’s Investors Service
3. Fitch Ratings
โดย S&P Global Ratings และ Moody’s Investors Service ครองส่วนแบ่งในตลาดนี้รวมกันประมาณ 80% และ Fitch Ratings ครองสัดส่วนอีก 15% ส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นบริษัทอื่นๆ
ตลาดที่มีบริษัทใหญ่ๆ เพียงไม่กี่รายครองส่วนแบ่งเกือบทั้งตลาดแบบนี้ เราเรียกว่า “ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)”
ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งของตลาดผู้ขายน้อยราย
คือบริษัทไม่กี่รายที่เป็นผู้ครองตลาด
สามารถสร้างสิ่งที่ทำให้บริษัทรายอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้ยาก
สิ่งนี้เรียกว่า “Barrier to Entry”
และ Barrier to Entry ของตลาดประเมินเครดิตนี้ ก็คือ “ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ”
แล้วบริษัทเหล่านี้สร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขึ้นมาอย่างไร?
ถ้าลองมาดูปีที่บริษัทเหล่านี้เริ่มทำธุรกิจ
- Standard and Poor’s มีจุดเริ่มต้นในปี 1860 หรือเมื่อ 160 ปีที่แล้ว
- Moody’s มีจุดเริ่มต้นในปี 1909 หรือเมื่อ 111 ปีที่แล้ว
- Fitch มีจุดเริ่มต้นในปี 1914 หรือเมื่อ 106 ปีที่แล้ว
จะเห็นว่า ทั้ง 3 บริษัท มีประสบการณ์มากกว่า 100 ปี
ซึ่งเราก็อาจสรุปได้ว่า ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้กับทั้ง 3 บริษัท
ตรงนี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิตที่เพิ่งก่อตั้งรายอื่นเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งได้ยาก
เพราะบริษัทที่จะมาใช้บริการในการประเมินเครดิต ก็จะเลือกใช้ 3 บริษัทนี้เป็นอันดับแรกๆ
แต่อีกมุมหนึ่ง การที่ 3 บริษัทนี้มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสูง มันก็มีประเด็นในด้านลบเกิดขึ้นเหมือนกัน
หลายครั้งที่บริษัทเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าให้เรตติ้งสูงเกินควรกับลูกค้าบางรายเพื่อแลกกับผลประโยชน์ เพราะไม่ว่าบริษัทไหน ก็อยากได้เรตติ้งที่ดีจากบริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำกันทั้งนั้น
ถ้าใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Big Short
ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเกิดวิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐฯ ในช่วงปี 2008
จะเห็นว่าบางช่วงในภาพยนตร์ พยายามนำเสนอว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ให้เรตติ้งกับตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อบ้านหนุนหลังในระดับที่สูงจนเกินไป และนำมาซึ่งปรากฏการณ์ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ แตกในที่สุด
พอเป็นแบบนี้ หลายๆ ประเทศจึงมีการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาดูแลการดำเนินงานของบริษัทจัดอันดับเครดิต ให้รัดกุมมากขึ้น
อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา หลังจากเกิดวิกฤติซับไพรม์ ก็มีการปฏิรูปกฎหมายสำหรับควบคุม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทจัดอันดับเครดิตให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เช่น กำหนดให้บริษัทจัดอันดับเครดิตต้องเปิดเผยขั้นตอนและวิธีการของการประเมินเครดิตอย่างละเอียดให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประเด็นในแง่ลบหลายครั้ง
แต่บริษัทจัดอันดับเครดิตรายใหญ่ทั้ง 3 เจ้านี้ ก็ยังครองตลาดนี้ได้เกือบ 100% ในปัจจุบัน
สรุปแล้ว ที่บริษัทจัดอันดับเครดิตทั้ง 3 แห่งสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดนี้ได้
สาเหตุหลักมาจากชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ที่สร้างขึ้นจากการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน
จนทำให้ไม่ว่าใครๆ ก็อยากได้การจัดอันดับเครดิตจาก 3 บริษัทนี้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง
และเรื่องที่น่าสนใจของธุรกิจประเภทนี้คือ
ตราบใดที่สินทรัพย์ทางการเงินยังคงต้องการการรับรองความน่าเชื่อถือ
บริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ ก็คงจะทำรายได้ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ นั่นเอง..
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.investopedia.com/articles/bonds/09/history-credit-rating-agencies.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Credit_rating_agency
-https://www.fitchratings.com/
-S&P Global 2019 Annual Report.
-Moody’s 2019 Annual Report.
pwc wiki 在 資誠(PwC Taiwan) - Home | Facebook 的推薦與評價
資誠(PwC Taiwan)創立於1970年,為PwC在台灣之聯盟所,提供產業專精的整合性專業服務。資誠(PwC... 基隆路一段333號27樓, Taipei, Taiwan 11012. ... <看更多>
pwc wiki 在 PwC Wiki - YouTube 的推薦與評價
We discuss the company profile of PwC. Pwc is one of the top 4 accounting firms. The full form of their names is pricewaterhousecoopers. They ... ... <看更多>