บริษัทรองเท้าแตะ ที่รายได้หมื่นล้าน / โดย ลงทุนแมน
รองเท้าแตะ สินค้าธรรมดา ดูบ้านๆ
จนเหมือนไม่สามารถสร้างแบรนด์ หรือมูลค่าเพิ่มได้
ถ้าเราคิดว่าทุกคนจะซื้อรองเท้าแตะไปใช้งาน แบบไม่เน้นแบรนด์
เหมือนกับ น้ำดื่ม ถุงพลาสติก กระดาษ
เราจะคิดผิด..
ในโลกธุรกิจ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้..
เมื่อมีคนเห็นช่องว่างของสินค้าบ้านๆ นี้ แล้วเข้าไปเติมเต็ม และปั้นรองเท้าแตะจนเป็นแบรนด์รองเท้าแตะระดับโลกได้
เมื่อทำสำเร็จ ตลาดที่ได้จะใหญ่มาก เพราะ มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องใส่รองเท้า..
วันนี้ลงทุนแมนจะมาเล่าให้ฟังถึงแบรนด์ระดับโลกอย่าง
Havaianas
Crocs
FitFlop
และแบรนด์ของไทย คือ ช้างดาว
เริ่มต้นกันที่รองเท้าแตะไฮโซ Havaianas
อ่านว่า ฮาวายานัส เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า ชาวฮาวาย
รองเท้าแบรนด์นี้มาจากประเทศบราซิล ไม่ใช่โปรตุเกส
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก รองเท้าแตะฟางข้าวที่ใส่กับชุดกิโมโนของญี่ปุ่น
แต่ได้ดัดแปลงมาใช้ ยาง ในการทำรองเท้าแทน
ในช่วงแรก Havaianas ได้รับความนิยมในกลุ่มแรงงานของบราซิล
แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยายมาสู่กลุ่มวัยรุ่น
จนสุดท้าย ก็ได้รับความนิยมในทุกชนชั้นของบราซิล
และจุดพีกของแบรนด์ เกิดขึ้นเมื่องานฟุตบอลโลกปี 1998
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จัก Havaianas
เพราะได้ผลิตรองเท้าแตะ รุ่นที่มีธงชาติบราซิลติดที่สายรองเท้า
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเชียร์ฟุตบอล
ทำให้ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนบอลทั่วโลก และขายได้ถึง 100 ล้านคู่
ความโด่งดังของ Havaianas ขยายไปทั่วโลก ซึ่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
Havaianas ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรองเท้า โดยการออกแบบ และสร้างจุดเด่นให้กับรองเท้า
เช่น รองเท้าแตะเรืองแสง รองเท้าแตะประดับด้วยคริสตัล ทอง และเพชร
รวมถึงการสร้างคอลเล็กชันร่วมกับแบรนด์อื่น เช่น Marvel, Disney
ราคาของรองเท้าแตะ Havaianas ราคาเริ่มต้นประมาณ 750 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท
ผลประกอบการบริษัท Alpargatas เจ้าของแบรนด์ Havaianas
ปี 2016 มีรายได้ 30,396 ล้านบาท กำไร 2,714 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 27,906 ล้านบาท กำไร 2,716 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 29,279 ล้านบาท กำไร 2,489 ล้านบาท
บริษัทนี้มีรองเท้าแตะ เป็นสัดส่วนรายได้ถึง 69% ของรายได้ปี 2018
ซึ่ง Havaianas ได้ขายรองเท้าแตะไปกว่า 240 ล้านคู่ต่อปี ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
แบรนด์ต่อมาคือ รองเท้าแตะรูปร่างแปลกตา ไม่เหมือนใคร
Crocs รองเท้าจระเข้ในตำนาน
ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการสวมใส่สบาย และทนทานสูง
สามารถใส่ลุยน้ำ ลุยทราย ลุยโคลน ลุยได้ทุกกิจกรรม โดยไม่มีปัญหา
ถึงขนาดเคยมีข่าว เด็กหนุ่ม Benjamin Pachev สวมรองเท้าแตะ Crocs
เข้าร่วมการแข่งขัน วิ่งฮาล์ฟมาราธอนในงาน OneAmerica 500 Festival Mini-Marathon จนคว้าอันดับที่ 16..
Crocs เป็นบริษัทรองเท้าสัญชาติอเมริกัน
ก่อตั้งโดย Scott Seamans, Lyndon "Duke" Hanson และ George Boedecker, Jr.
เริ่มแรกพวกเขามีความคิดที่จะสร้างรองเท้าสำหรับนักแข่งเรือ และสำหรับใช้งานทางน้ำ
ดังนั้น รองเท้าที่พวกเขาต้องการ ต้องมีคุณสมบัติกันลื่น และไม่ทิ้งร่องรอยขีดข่วนไว้บนเรือ
โดย Crocs ทุกรุ่นจะผลิตด้วยวัสดุที่เรียกว่า Croslite ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Crocs
มันมีคุณสมบัติช่วยให้รองเท้ามีน้ำหนักเบา ยึดเกาะดี และไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนพื้น
รองเท้าแตะ Crocs รุ่นแรก เปิดตัวในปี 2002 เป็นรุ่น The Beach
แต่ด้วยเอกลักษณ์ของรองเท้า Crocs จึงไปเตะตาผู้คนจากหลายกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็น เซเลบฯ, นักกีฬา, บุคลากรทางการแพทย์, กลุ่มผู้นิยมกิจกรรม outdoor ไปจนถึงกลุ่มคนทั่วไป
รองเท้าแตะ Crocs ราคาเริ่มต้นประมาณ 550 บาท ไปจนถึง 3,300 บาท
ผลประกอบการบริษัท Crocs
ปี 2016 มีรายได้ 31,579 ล้านบาท ขาดทุน 967 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 31,191 ล้านบาท ขาดทุน 161 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,162 ล้านบาท ขาดทุน 2,109 ล้านบาท
ตั้งแต่เริ่มกิจการ ถึงตอนนี้ Crocs ขายรองเท้าไปแล้วมากกว่า 630 ล้านคู่
และครอบคลุมกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ด้วยคุณภาพของสินค้าทั้ง เบา สวมสบาย ทนทาน และยึดเกาะได้ดี
ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากลูกค้าบางกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของ Crocs คงเป็นเรื่องรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์จนเกินไป
ทำให้คนบางกลุ่มอาจมองว่า รูปทรงไม่ค่อยสวย ใส่แล้วไม่เท่
อีกแบรนด์รองเท้าแตะที่หลายคนต้องร้องอ๋อ นั่นคือ FitFlop
รองเท้าเพื่อสุขภาพแบรนด์ดังจากอังกฤษ
จนได้รับฉายาว่า “รองเท้าเพื่อขาเรียวสวย”
FitFlop คิดค้นโดยคุณ Marcia Kilgore อดีตเจ้าของธุรกิจ Bliss Spa และเจ้าของ Soap & Glory ผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำและครีมบำรุงผิว
จุดเริ่มต้นมาจาก Marcia ต้องการลดหุ่นหลังจากคลอดลูกคนแรก
เธอจึงไปปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อหาวิธีสลายไขมัน
โดยการลดเซลลูไลต์ หรือ ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง
เซลลูไลต์ทำให้ผิวมีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม ขรุขระ หรือเกิดรอยย่น ซึ่งมักเกิดขึ้นที่บริเวณต้นขา สะโพก ก้น และท้อง
อย่างไรก็ตาม เธอยังมีโจทย์อีกว่า การแก้ปัญหานี้ต้องไม่ยุ่งยาก เสียเวลา และเจ็บตัว
เธอจึงตัดเรื่องการออกกำลังกายออกไป เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่มักไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ดังนั้น เธอจึงมีไอเดียที่จะสร้างรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ
ที่ช่วยให้ออกกำลังกายได้ระหว่างเดิน เพื่อลด และกระชับเรียวขา
เพราะ การเดิน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
รองเท้า FitFlop ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีที่เรียกว่า Microwobbleboard
คือ พื้นรองเท้าส่วนกลางที่มีความหนาแน่นหลายระดับ คล้ายกับกระดานขนาดเล็กที่โยกได้
เพื่อช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อตลอดเวลาสวมใส่
ในปี 2007 ได้เปิดตัวสินค้าตัวแรก คือ FitFlop Phenomenon
เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย และต้องการวิธีที่ทันสมัย
แต่แบรนด์เริ่มโด่งดังขึ้นหลังจากที่ พิธีกรหญิงชื่อดัง Oprah Winfrey
กล่าวชื่นชมคุณภาพของรองเท้า FitFlop
ทำให้แฟนๆ รายการ ต่างพากันไปหาซื้อมาครอบครอง
FitFlop มีจำหน่ายกว่า 52 ประเทศทั่วโลก และขายได้มากกว่า 22 ล้านคู่ต่อปี
ซึ่งมีฟิลิปปินส์และไทย เป็นตลาดใหญ่ในเอเชีย
ถึงแม้รองเท้าแตะ FitFlop จะราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้นประมาณ 1,200 บาทถึง 6,000 บาท
แต่ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู สวมใส่สบาย พร้อมคุณสมบัติด้านสุขภาพ เช่น ช่วยขาเรียว ลดอาการปวดขา เท้าบวม ลดแรงกระแทกต่อข้อเท้าและข้อเข่า
ทำให้คุณผู้หญิงต่างชื่นชอบ และพากันบอกปากต่อปาก
จนแบรนด์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ซึ่งต่อมา เมื่อรองเท้าแตะสำหรับผู้หญิงติดตลาดแล้ว
FitFlop ก็เริ่มผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ชายในปี 2008 ออกสู่ตลาด
ตอนนี้เรามาพูดถึงรองเท้าฝั่งประเทศไทยกันบ้าง
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี
รองเท้าแตะตรา “ช้างดาว”
รองเท้าแตะยางในตำนานของเมืองไทย
ช้างดาว กับ รองเท้าผ้าใบนันยาง ต่างมีเจ้าของเดียวกัน
ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจาก คุณวิชัย ซอโสตถิกุล ได้ก่อตั้ง บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด
ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด
บริษัททำธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าหลายชนิด เช่น รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ “หนำเอี๊ย” จากประเทศสิงคโปร์
จากเดิมรองเท้าผ้าใบนี้ชื่อว่า หนำเอี๊ย ที่เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว
แต่สามารถออกเสียงตามภาษาจีนกลาง ได้ว่า “หนันยาง”
และปรับให้คนไทยจำง่ายขึ้นเลยได้ชื่อว่า “นันยาง”
ในปี 1953 บริษัท นันยาง ก็ได้เป็นฐานการผลิตรองเท้าผ้าใบ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
จนกระทั่งในปี 1956 บริษัทได้เริ่มการผลิตรองเท้าแตะ ตราช้างดาว
โดยทำมาจากยางพารา 100%
ในช่วงแรกนั้นมี 2 สีคือ สีน้ำตาล และ สีน้ำเงิน
ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น
รองเท้าแตะตราช้างดาวขายในราคาเพียงคู่ละ 99 บาท
ผลประกอบการของ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด
ปี 2016 มีรายได้ 928 ล้านบาท กำไร 229 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 851 ล้านบาท กำไร 159 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 1,006 ล้านบาท กำไร 262 ล้านบาท
ผลประกอบการของ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด
ปี 2016 มีรายได้ 1,017 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 913 ล้านบาท กำไร 9 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 1,107 ล้านบาท กำไร 27 ล้านบาท
โดยแบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มรองเท้าผ้าใบ 50% และกลุ่มรองเท้าแตะ 50%
ตั้งแต่เริ่มวางขาย รองเท้าแตะช้างดาว ขายได้มากกว่า 100 ล้านคู่แล้ว
และปีหนึ่งส่งออกได้ถึง 300,000 คู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในเอเชีย เช่น พม่า อินเดีย บังกลาเทศ ลาว อินโดนีเซีย
ในอดีต ช้างดาวถูกมองว่าเป็นรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
คนเลือกซื้อมาใส่ เพราะมองถึงความทนทานและคุ้มค่า
แต่ปัจจุบัน ช้างดาว ก็พยายามปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย และเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น
อย่างเช่น การออกแคมเปญ ‘ช้างดาวสไตล์’
การตลาดที่จะสื่อว่า คนรุ่นใหม่ และคนดัง แม้จะสวมรองเท้าช้างดาวก็เท่ได้
และออก ‘ช้างดาวเบสิก’ รองเท้าแตะสีขาวล้วน และดำล้วน เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่
จากเรื่องราวของแบรนด์รองเท้าแตะทั้งหมดที่เล่ามา
จะเห็นได้ว่า แต่ละแบรนด์ก็มีจุดเริ่มต้น และจุดขายที่แตกต่างกันไป
แต่จุดร่วมเดียวกัน ที่ทำให้แบรนด์เหล่านั้นประสบความสำเร็จได้
ก็คือ มีความตั้งใจที่ชัดเจน ว่าจะผลิตรองเท้าเพื่อใคร
อย่างเช่น Crocs อยากทำรองเท้าสำหรับนักแข่งเรือ หรือ FitFlop ที่อยากทำรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้หญิง
เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือรู้ว่าเราอยากส่งมอบคุณค่าให้ใคร
และตั้งใจทำมันอย่างจริงใจ พร้อมกับพัฒนาสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
ถึงแม้ช่วงแรกๆ ผลตอบรับจะไม่ดีอย่างที่หวัง
แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงใจของเรา
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็จะส่งไปถึงผู้คนได้ในที่สุด..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ รองเท้า Crocs ได้รับอีกฉายาว่า รองเท้าติดบันไดเลื่อน
เพราะวัสดุของรองเท้า ที่มีความยืดหยุ่นและยึดเกาะสูง
ทำให้เวลาใส่ขึ้นบันไดเลื่อน รองเท้ามักจะถูกดูดเข้าไป นั่นเอง..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://moneyhub.in.th/article/%E0%B8%B4business-success/
-http://fitflop-thailand.blogspot.com/2009/07/fitflop.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Havaianas
-https://board.postjung.com/990514
-https://thestandard.co/news-business-havaianas/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Crocs
-https://www.facebook.com/notes/crocs/ต้นกำเนิดรองเท้า-crocs/122494014467657/
-https://www.catdumb.com/when-croc-want-to-invest-running-m…/
-https://says.com/…/12-things-you-should-know-about-fitflops…
-Financial Report_2018
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
outdoor marvel- 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
บริษัทรองเท้าแตะ ที่รายได้หมื่นล้าน / โดย ลงทุนแมน
รองเท้าแตะ สินค้าธรรมดา ดูบ้านๆ
จนเหมือนไม่สามารถสร้างแบรนด์ หรือมูลค่าเพิ่มได้
ถ้าเราคิดว่าทุกคนจะซื้อรองเท้าแตะไปใช้งาน แบบไม่เน้นแบรนด์
เหมือนกับ น้ำดื่ม ถุงพลาสติก กระดาษ
เราจะคิดผิด..
ในโลกธุรกิจ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้..
เมื่อมีคนเห็นช่องว่างของสินค้าบ้านๆ นี้ แล้วเข้าไปเติมเต็ม และปั้นรองเท้าแตะจนเป็นแบรนด์รองเท้าแตะระดับโลกได้
เมื่อทำสำเร็จ ตลาดที่ได้จะใหญ่มาก เพราะ มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องใส่รองเท้า..
วันนี้ลงทุนแมนจะมาเล่าให้ฟังถึงแบรนด์ระดับโลกอย่าง
Havaianas
Crocs
FitFlop
และแบรนด์ของไทย คือ ช้างดาว
เริ่มต้นกันที่รองเท้าแตะไฮโซ Havaianas
อ่านว่า ฮาวายานัส เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า ชาวฮาวาย
รองเท้าแบรนด์นี้มาจากประเทศบราซิล ไม่ใช่โปรตุเกส
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก รองเท้าแตะฟางข้าวที่ใส่กับชุดกิโมโนของญี่ปุ่น
แต่ได้ดัดแปลงมาใช้ ยาง ในการทำรองเท้าแทน
ในช่วงแรก Havaianas ได้รับความนิยมในกลุ่มแรงงานของบราซิล
แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยายมาสู่กลุ่มวัยรุ่น
จนสุดท้าย ก็ได้รับความนิยมในทุกชนชั้นของบราซิล
และจุดพีกของแบรนด์ เกิดขึ้นเมื่องานฟุตบอลโลกปี 1998
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จัก Havaianas
เพราะได้ผลิตรองเท้าแตะ รุ่นที่มีธงชาติบราซิลติดที่สายรองเท้า
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเชียร์ฟุตบอล
ทำให้ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนบอลทั่วโลก และขายได้ถึง 100 ล้านคู่
ความโด่งดังของ Havaianas ขยายไปทั่วโลก ซึ่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
Havaianas ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรองเท้า โดยการออกแบบ และสร้างจุดเด่นให้กับรองเท้า
เช่น รองเท้าแตะเรืองแสง รองเท้าแตะประดับด้วยคริสตัล ทอง และเพชร
รวมถึงการสร้างคอลเล็กชันร่วมกับแบรนด์อื่น เช่น Marvel, Disney
ราคาของรองเท้าแตะ Havaianas ราคาเริ่มต้นประมาณ 750 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท
ผลประกอบการบริษัท Alpargatas เจ้าของแบรนด์ Havaianas
ปี 2016 มีรายได้ 30,396 ล้านบาท กำไร 2,714 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 27,906 ล้านบาท กำไร 2,716 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 29,279 ล้านบาท กำไร 2,489 ล้านบาท
บริษัทนี้มีรองเท้าแตะ เป็นสัดส่วนรายได้ถึง 69% ของรายได้ปี 2018
ซึ่ง Havaianas ได้ขายรองเท้าแตะไปกว่า 240 ล้านคู่ต่อปี ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
แบรนด์ต่อมาคือ รองเท้าแตะรูปร่างแปลกตา ไม่เหมือนใคร
Crocs รองเท้าจระเข้ในตำนาน
ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการสวมใส่สบาย และทนทานสูง
สามารถใส่ลุยน้ำ ลุยทราย ลุยโคลน ลุยได้ทุกกิจกรรม โดยไม่มีปัญหา
ถึงขนาดเคยมีข่าว เด็กหนุ่ม Benjamin Pachev สวมรองเท้าแตะ Crocs
เข้าร่วมการแข่งขัน วิ่งฮาล์ฟมาราธอนในงาน OneAmerica 500 Festival Mini-Marathon จนคว้าอันดับที่ 16..
Crocs เป็นบริษัทรองเท้าสัญชาติอเมริกัน
ก่อตั้งโดย Scott Seamans, Lyndon "Duke" Hanson และ George Boedecker, Jr.
เริ่มแรกพวกเขามีความคิดที่จะสร้างรองเท้าสำหรับนักแข่งเรือ และสำหรับใช้งานทางน้ำ
ดังนั้น รองเท้าที่พวกเขาต้องการ ต้องมีคุณสมบัติกันลื่น และไม่ทิ้งร่องรอยขีดข่วนไว้บนเรือ
โดย Crocs ทุกรุ่นจะผลิตด้วยวัสดุที่เรียกว่า Croslite ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Crocs
มันมีคุณสมบัติช่วยให้รองเท้ามีน้ำหนักเบา ยึดเกาะดี และไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนพื้น
รองเท้าแตะ Crocs รุ่นแรก เปิดตัวในปี 2002 เป็นรุ่น The Beach
แต่ด้วยเอกลักษณ์ของรองเท้า Crocs จึงไปเตะตาผู้คนจากหลายกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็น เซเลบฯ, นักกีฬา, บุคลากรทางการแพทย์, กลุ่มผู้นิยมกิจกรรม outdoor ไปจนถึงกลุ่มคนทั่วไป
รองเท้าแตะ Crocs ราคาเริ่มต้นประมาณ 550 บาท ไปจนถึง 3,300 บาท
ผลประกอบการบริษัท Crocs
ปี 2016 มีรายได้ 31,579 ล้านบาท ขาดทุน 967 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 31,191 ล้านบาท ขาดทุน 161 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,162 ล้านบาท ขาดทุน 2,109 ล้านบาท
ตั้งแต่เริ่มกิจการ ถึงตอนนี้ Crocs ขายรองเท้าไปแล้วมากกว่า 630 ล้านคู่
และครอบคลุมกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ด้วยคุณภาพของสินค้าทั้ง เบา สวมสบาย ทนทาน และยึดเกาะได้ดี
ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากลูกค้าบางกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของ Crocs คงเป็นเรื่องรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์จนเกินไป
ทำให้คนบางกลุ่มอาจมองว่า รูปทรงไม่ค่อยสวย ใส่แล้วไม่เท่
อีกแบรนด์รองเท้าแตะที่หลายคนต้องร้องอ๋อ นั่นคือ FitFlop
รองเท้าเพื่อสุขภาพแบรนด์ดังจากอังกฤษ
จนได้รับฉายาว่า “รองเท้าเพื่อขาเรียวสวย”
FitFlop คิดค้นโดยคุณ Marcia Kilgore อดีตเจ้าของธุรกิจ Bliss Spa และเจ้าของ Soap & Glory ผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำและครีมบำรุงผิว
จุดเริ่มต้นมาจาก Marcia ต้องการลดหุ่นหลังจากคลอดลูกคนแรก
เธอจึงไปปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อหาวิธีสลายไขมัน
โดยการลดเซลลูไลต์ หรือ ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง
เซลลูไลต์ทำให้ผิวมีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม ขรุขระ หรือเกิดรอยย่น ซึ่งมักเกิดขึ้นที่บริเวณต้นขา สะโพก ก้น และท้อง
อย่างไรก็ตาม เธอยังมีโจทย์อีกว่า การแก้ปัญหานี้ต้องไม่ยุ่งยาก เสียเวลา และเจ็บตัว
เธอจึงตัดเรื่องการออกกำลังกายออกไป เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่มักไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ดังนั้น เธอจึงมีไอเดียที่จะสร้างรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ
ที่ช่วยให้ออกกำลังกายได้ระหว่างเดิน เพื่อลด และกระชับเรียวขา
เพราะ การเดิน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
รองเท้า FitFlop ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีที่เรียกว่า Microwobbleboard
คือ พื้นรองเท้าส่วนกลางที่มีความหนาแน่นหลายระดับ คล้ายกับกระดานขนาดเล็กที่โยกได้
เพื่อช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อตลอดเวลาสวมใส่
ในปี 2007 ได้เปิดตัวสินค้าตัวแรก คือ FitFlop Phenomenon
เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย และต้องการวิธีที่ทันสมัย
แต่แบรนด์เริ่มโด่งดังขึ้นหลังจากที่ พิธีกรหญิงชื่อดัง Oprah Winfrey
กล่าวชื่นชมคุณภาพของรองเท้า FitFlop
ทำให้แฟนๆ รายการ ต่างพากันไปหาซื้อมาครอบครอง
FitFlop มีจำหน่ายกว่า 52 ประเทศทั่วโลก และขายได้มากกว่า 22 ล้านคู่ต่อปี
ซึ่งมีฟิลิปปินส์และไทย เป็นตลาดใหญ่ในเอเชีย
ถึงแม้รองเท้าแตะ FitFlop จะราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้นประมาณ 1,200 บาทถึง 6,000 บาท
แต่ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรู สวมใส่สบาย พร้อมคุณสมบัติด้านสุขภาพ เช่น ช่วยขาเรียว ลดอาการปวดขา เท้าบวม ลดแรงกระแทกต่อข้อเท้าและข้อเข่า
ทำให้คุณผู้หญิงต่างชื่นชอบ และพากันบอกปากต่อปาก
จนแบรนด์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ซึ่งต่อมา เมื่อรองเท้าแตะสำหรับผู้หญิงติดตลาดแล้ว
FitFlop ก็เริ่มผลิตรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ชายในปี 2008 ออกสู่ตลาด
ตอนนี้เรามาพูดถึงรองเท้าฝั่งประเทศไทยกันบ้าง
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี
รองเท้าแตะตรา “ช้างดาว”
รองเท้าแตะยางในตำนานของเมืองไทย
ช้างดาว กับ รองเท้าผ้าใบนันยาง ต่างมีเจ้าของเดียวกัน
ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจาก คุณวิชัย ซอโสตถิกุล ได้ก่อตั้ง บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด
ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด
บริษัททำธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าหลายชนิด เช่น รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ “หนำเอี๊ย” จากประเทศสิงคโปร์
จากเดิมรองเท้าผ้าใบนี้ชื่อว่า หนำเอี๊ย ที่เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว
แต่สามารถออกเสียงตามภาษาจีนกลาง ได้ว่า “หนันยาง”
และปรับให้คนไทยจำง่ายขึ้นเลยได้ชื่อว่า “นันยาง”
ในปี 1953 บริษัท นันยาง ก็ได้เป็นฐานการผลิตรองเท้าผ้าใบ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
จนกระทั่งในปี 1956 บริษัทได้เริ่มการผลิตรองเท้าแตะ ตราช้างดาว
โดยทำมาจากยางพารา 100%
ในช่วงแรกนั้นมี 2 สีคือ สีน้ำตาล และ สีน้ำเงิน
ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น
รองเท้าแตะตราช้างดาวขายในราคาเพียงคู่ละ 99 บาท
ผลประกอบการของ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด
ปี 2016 มีรายได้ 928 ล้านบาท กำไร 229 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 851 ล้านบาท กำไร 159 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 1,006 ล้านบาท กำไร 262 ล้านบาท
ผลประกอบการของ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด
ปี 2016 มีรายได้ 1,017 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท
ปี 2017 มีรายได้ 913 ล้านบาท กำไร 9 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 1,107 ล้านบาท กำไร 27 ล้านบาท
โดยแบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มรองเท้าผ้าใบ 50% และกลุ่มรองเท้าแตะ 50%
ตั้งแต่เริ่มวางขาย รองเท้าแตะช้างดาว ขายได้มากกว่า 100 ล้านคู่แล้ว
และปีหนึ่งส่งออกได้ถึง 300,000 คู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในเอเชีย เช่น พม่า อินเดีย บังกลาเทศ ลาว อินโดนีเซีย
ในอดีต ช้างดาวถูกมองว่าเป็นรองเท้าสำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
คนเลือกซื้อมาใส่ เพราะมองถึงความทนทานและคุ้มค่า
แต่ปัจจุบัน ช้างดาว ก็พยายามปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย และเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น
อย่างเช่น การออกแคมเปญ ‘ช้างดาวสไตล์’
การตลาดที่จะสื่อว่า คนรุ่นใหม่ และคนดัง แม้จะสวมรองเท้าช้างดาวก็เท่ได้
และออก ‘ช้างดาวเบสิก’ รองเท้าแตะสีขาวล้วน และดำล้วน เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่
จากเรื่องราวของแบรนด์รองเท้าแตะทั้งหมดที่เล่ามา
จะเห็นได้ว่า แต่ละแบรนด์ก็มีจุดเริ่มต้น และจุดขายที่แตกต่างกันไป
แต่จุดร่วมเดียวกัน ที่ทำให้แบรนด์เหล่านั้นประสบความสำเร็จได้
ก็คือ มีความตั้งใจที่ชัดเจน ว่าจะผลิตรองเท้าเพื่อใคร
อย่างเช่น Crocs อยากทำรองเท้าสำหรับนักแข่งเรือ หรือ FitFlop ที่อยากทำรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้หญิง
เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือรู้ว่าเราอยากส่งมอบคุณค่าให้ใคร
และตั้งใจทำมันอย่างจริงใจ พร้อมกับพัฒนาสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
ถึงแม้ช่วงแรกๆ ผลตอบรับจะไม่ดีอย่างที่หวัง
แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงใจของเรา
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็จะส่งไปถึงผู้คนได้ในที่สุด..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ รองเท้า Crocs ได้รับอีกฉายาว่า รองเท้าติดบันไดเลื่อน
เพราะวัสดุของรองเท้า ที่มีความยืดหยุ่นและยึดเกาะสูง
ทำให้เวลาใส่ขึ้นบันไดเลื่อน รองเท้ามักจะถูกดูดเข้าไป นั่นเอง..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://moneyhub.in.th/article/%E0%B8%B4business-success/
-http://fitflop-thailand.blogspot.com/2009/07/fitflop.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Havaianas
-https://board.postjung.com/990514
-https://thestandard.co/news-business-havaianas/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Crocs
-https://www.facebook.com/notes/crocs/ต้นกำเนิดรองเท้า-crocs/122494014467657/
-https://www.catdumb.com/when-croc-want-to-invest-running-marketing-044/
-https://says.com/my/lifestyle/12-things-you-should-know-about-fitflops-and-why-it-s-such-a-hit-in-malaysia
-Financial Report_2018
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
outdoor marvel- 在 流浪者日誌-Bikepacking diary Facebook 的最讚貼文
"流浪者日誌"
完整版的滇藏線影片來了
這應該是我騎車的終極目標之一了吧
真的希望人生中有一段是騎著單車在這之中度過
Documentary of Bing-Cha-Cha: A Mystifying Passage between Yunnan and Tibet
Of all the routes leading into Tibet, Bing-Cha-Cha is the most mysterious. It’s a route that takes you from Bing Zhong Luo in Yunnan province to Cha Wa Long in Tibet, and finally to Cha Yu. Due to its complicated geological structure and dangerous landscape, this path is currently a paradise for but a few adventurers and experienced outdoor enthusiasts. Let us delve into this world by looking at the photographs taken of the team led by Zhou Shao-he, an experienced biker and outdoor explorer.
Introduction of the bike route:
“Bing-Cha-Cha Route”: Starting from Yunnan’s Bingzhongluo, then going through Chawalong village, and ending in Tibet’s Chayu county, this ride totals 207 kilometers (128 miles). Yet despite the route’s short length, it has a harsh environment and few inhabitants. A large number of the bike paths cross through uninhabited territory, with extremely rundown public roads and facilities. From Chawalong to Chayu, the most common public roads are the rural dirt roads. Accommodations along the way are a challenge, and supplies are difficult to come by. It has been called the “shortest, worst, and newest” route into Tibet. The way is hazardous, with the roads before and after Chawalong being the most demanding. But seeing as there are plans next year to pave the path over with asphalt, the breathtaking, yet challenging Bing-Cha-Cha route of today will soon disappear, never to be seen again.
“Bing-Cha-Cha” passes through the Three Parallel Rivers National Park, with elevations ranging from a few hundred meters to five thousand meters, which cover a variety of different landforms and climates. Compared to the more established routes into Tibet, Bing-Cha-Cha has received less influence from the outside world, and villages along the route seem much more pristine. Travel along the route encompasses the basic, key features of Tibet’s natural scenery and places of cultural interest. Along the way, you can marvel at Bingzhongluo, the Nu River’s first bend, Shimenguan, Hada Waterfall, Tongtian Waterfall, Yuli precipice and other spectacular and magnificent scenery. You can also experience firsthand the customs and practices of many different ethnic groups.
Every year from May to December, Bing-Cha-Cha is open to traffic. The rest of the time it is closed off due to big snows. From July to September, it’s the rainy season, with landslides and mudslides making road conditions terrible. As a result, in any given year, “Bing-Cha-Cha” is really only suitable for travel for four months. Connecting western Yunnan-Tibet with northeastern Tibet, the entirety of this simple path is covered with sand, potholes, stones, landslides, quicksand, and falling rocks. A road that cannot be called a road exactly, “Bing-Cha-Cha” is known by all Chinese off-road bikers as “the most difficult path into Tibet”.
The records of this bike journey are told in the first person by Dino.Thank you particularly to the many Taiwanese bike part companies who gave their support for this bike team, and who also gave us the chance to film this documentary and thus preserve the memory of this journey. It will surely be something we can all look back on for the rest of our lives.
Supponor by
KPLUS-Bikehelmet / VooDoo Cycles / Xforce Optics / ÜPON Outdoor / WOHO Bike
本次騎行路線介紹:
《丙察察線》:雲南丙中洛鄉經由察瓦龍鄉到達西藏察隅縣,全長207公里,線路雖短,但是自然環境惡劣、人口稀少,大量騎行路段屬無人區域,公路及周邊設施及其簡陋。察瓦龍 至 察隅 簡易公路為典型的鄉村砂土石路,沿途食宿困難、補給不便,號稱「最短、最爛、最新」的進藏公路!道路艱險,其中以 察瓦龍 前後的路段最艱難。但此路線將於明年起策劃鋪設柏油道路,故未來將不復見如此壯麗、自然具挑戰性的《丙察察線》了。
《丙察察線》穿越三江並流區域,海拔從幾百上升到五千米,會經過各種地貌和氣候,相對其他的成熟的進藏線路來講更為原始,路上經過的村莊也更純樸。沿線基本概括了西藏自然景觀與人文景觀的經典要素,沿途可欣賞到丙中洛、怒江第一灣、石門關、哈達瀑布、通天瀑布、玉立石壁等神奇壯麗景觀,並可以領略到多民族的風土人情。
每年通車時間為五到十月,其餘時間大雪封山無法通過。其中七月底到九月是雨季,因坍方泥石流等造成路況極差,因此《丙察察線》全年能通行的時間實際不足四個月。這條連接著滇西與藏東南的簡易道路,沙礫、坑洼、亂石、塌方、流沙、滾石路段散落全程,這條不是路的路,正是被國內所有越野者封為「最艱難的進藏路」的《丙察察線》。
本次騎行文字紀錄為騎行隊長 - 恐龍以第一人稱進行紀錄。特別感謝許多台灣的自行車配件品牌給了騎行隊許多的協助,並讓本次騎行有機會以紀錄片的形式保存下來,想必是參與的人一輩子的美好回憶。
鳴謝贊助
KPLUS 單車安全帽 / VooDoo Cycles 巫毒自行車 / Xforce 運動眼鏡 / ÜPON 戶外用品 / WOHO Bike 沃荷單車