วิกฤติเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ต่างกับ วิกฤติปี 40 อย่างไรบ้าง? / โดย ลงทุนแมน
ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย เจอกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก คือ วิกฤติต้มยํากุ้งในปี พ.ศ. 2540
และครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด 19 ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับเหตุการณ์วิกฤติซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในประเทศฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ในปี พ.ศ. 2551 ในตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบมาก เท่า 2 วิกฤตินี้
แน่นอนว่า สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 2 วิกฤตินี้
คือส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำอย่างหนัก
แล้วความแตกต่างกันของทั้ง 2 วิกฤตินี้ คืออะไร?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
เริ่มต้นที่วิกฤติต้มยํากุ้งในปี พ.ศ. 2540
รู้ไหมว่า ก่อนหน้าที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นนั้น
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงยุคทองของการลงทุนเลยทีเดียว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ประเด็นแรก คือ การเกิดขึ้นของโครงการ Eastern Seaboard ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529)
รัฐบาลในขณะนั้นต้องการเปลี่ยนอุตสาหกรรมเบาในภาคตะวันออก ให้มาเป็นอุตสาหกรรมหนัก และอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในระยะยาว
ประเด็นต่อมา คือ หลังจากการที่ญี่ปุ่นทำข้อตกลง “Plaza Accord” กับสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2528 ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงนั้น คือญี่ปุ่นต้องยอมให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งการที่เงินเยนแข็งค่ากระทบกับภาคการส่งออกของญี่ปุ่นอย่างมาก
เมื่อเป็นแบบนี้ บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากจึงต้องมองหาประเทศมีค่าต้นทุนแรงงานต่ำ เพื่อตั้งโรงงานการผลิตซึ่งจะช่วยให้สินค้าของญี่ปุ่นนั้นสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
และประเทศไทยก็คือคำตอบนั้น..
บริษัทญี่ปุ่นเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในไทย พร้อมด้วยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้การจ้างงานและการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในตอนนั้น
ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยที่ว่ามานี้ เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนทำให้ในระหว่างปี พ.ศ. 2525-2539 เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 8%
ทำให้ประเทศไทยในตอนนั้น ได้รับการขนานนามว่าจะเป็น “เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย” ต่อจาก 4 เสือเดิมคือ ฮ่องกง, เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และไต้หวัน
เศรษฐกิจไทยที่โตระเบิดขณะนั้น ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เนื้อหอม
นักลงทุนจำนวนมากจากต่างประเทศ ต้องการปล่อยกู้ให้ทั้งรัฐบาลไทย และบริษัทเอกชนต่างๆ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของรัฐบาลไทยและบริษัทเอกชนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลไทยในขณะนั้น ต้องการทำให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค
จึงได้มีการจัดตั้ง กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ขึ้นในปี พ.ศ. 2536 เพื่อทำหน้าที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศแล้วนำมาปล่อยกู้ต่อทั้งในและนอกประเทศไทย และอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งสามารถจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจได้เช่นกัน
ฝั่งภาคเอกชนเองก็มีการกู้เงินจากต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อมาขยายธุรกิจและมาลงทุนขยายกิจการ
ซึ่งในเวลานั้นไม่ค่อยมีใครกังวลเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะเหตุผลสำคัญคือ ในตอนนั้นประเทศไทย ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบ “คงที่”
หมายความว่า ไม่ว่าจะกู้เงินจากต่างประเทศเท่าไร ค่าเงินบาทต่อสกุลเงินต่างประเทศก็จะไม่เพิ่มค่า หรือลดค่าลงแม้แต่น้อย
เมื่อรวมกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศที่ถูกกว่าในประเทศเกือบเท่าตัว สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นสิ่งจูงใจ ให้ภาครัฐและเอกชนไทยกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ไปใช้จ่ายเกินตัว อย่างเช่น กู้เพื่อนำเงินไปเก็งกำไรในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์
ราคาสินทรัพย์ ดัชนีหุ้นไทย เริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น “ฟองสบู่”
แล้วสัญญาณเลวร้ายก็เริ่มเผยให้ได้เห็น..
ช่วงปี พ.ศ. 2540 การส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัวลง
ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มขาดดุลมากขึ้น
เจ้าหนี้เริ่มต้องการเงินกู้คืน
เงินทุนทยอยไหลออกจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาซื้อเงินบาท เพื่อพยุงค่าเงินบาทเอาไว้ จนเงินสำรองระหว่างประเทศเริ่มลดน้อยลงทุกที
จนธนาคารแห่งประเทศไทยช่วยพยุงไม่ไหว
สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
ซึ่งทำให้จากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงต่ำสุดถึง 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
การอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้รัฐบาล บริษัทไทย และคนที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศบางส่วนถึงขนาดล้มละลาย
ซึ่งถ้าเรามองให้ลึกลงไปจะพบว่า วิกฤติในครั้งนั้นเกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่และนักธุรกิจที่ร่ำรวย มากกว่าจะเกิดกับบริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือชาวบ้านธรรมดา เนื่องจากกลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤติครั้งนั้นเกิดขึ้น
การอ่อนค่าของเงินบาท ก็ทำให้ภาคการส่งออกของไทยกลับมาเติบโต
GDP ภาคการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 1.4 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2539 มาเป็น 2.8 ล้านล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 หรือเติบโตกว่าเท่าตัวในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี
การอ่อนค่าของเงินบาทยังช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2539 เท่ากับ 7.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจนมากกว่า 10 ล้านคนในปี พ.ศ. 2544 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นถูกลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
อีกด้านหนึ่งหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศในขณะนั้นอยู่ในระดับเพียง 50% ทำให้ประชาชนยังมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็ว
แม้ว่าวิกฤติในครั้งนั้นทำให้ GDP ของไทยติดลบไปถึง 7.6% ในปี พ.ศ. 2541 แต่ก็เริ่มกลับมาเป็นบวกได้อีกอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น
คราวนี้ มาดูที่วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันกันบ้าง
จากการระบาดของโควิด 19 ที่เริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของวิกฤติเหมือนครั้งก่อน
แต่วิกฤติที่เกิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวมาหลายปีแล้ว
ซึ่งต่างจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมาอย่างยาวนาน
และดูเหมือนว่า ในครั้งนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้ขยายวงกว้างออกไปกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง
ทั้งบริษัทขนาดเล็ก ธุรกิจ SMEs และประชาชนคนทั่วไป ได้รับผลกระทบกันเกือบทุกคน จากการที่รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ เช่น เว้นระยะห่างทางสังคม การล็อกดาวน์ในบางช่วงบางพื้นที่ และการปิดประเทศ
การระบาดของโควิด 19 ยังส่งผลกระทบกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งบางแห่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย
และที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมานานหลายปี ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการไม่เดินทางมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในปี พ.ศ. 2562 ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย มีมูลค่ารวมกันกว่า 10.6 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของ GDP ประเทศไทย โดยในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยกว่า 39 ล้านคน คิดเป็นกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2540
เมื่อทั้ง 2 เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยก็ตกต่ำลงไปอย่างหนักด้วย
และการตกต่ำของเศรษฐกิจในรอบนี้ ตามมาด้วยปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศ ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80%
ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่สัดส่วนนี้ อยู่ที่เพียง 50% ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของภาคครัวเรือนในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เร็ว
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ประชากรไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างต่อเนื่อง
โดยอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในวันนี้เท่ากับ 40 ปี
ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเท่ากับ 27 ปี เท่านั้น
อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนลดลงจากเดิม ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้า
สรุปแล้ว ถามว่าวิกฤติเศรษฐกิจในตอนนี้ แตกต่างกับเมื่อปี 40 อย่างไร
ก็ต้องบอกว่า ในแง่ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากวิกฤติในครั้งนี้ อาจมีความยาก และเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าวิกฤติในปี 40
วันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า ประเทศไทยจะสามารถกลับไปส่งออกได้เหมือนเดิมเมื่อไร
วันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะกลับมาได้อีกครั้งตอนไหน
คำถามที่สำคัญก็คือ
เราจะร่วมมือกันวางแผน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
เพื่อให้ทุกคน และประเทศไทย ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้..
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-http://www.fpo.go.th/main/getattachment/Economic-report/State-Savings-and-Investment-Status-Report/5407/CNT0017474-1.pdf.aspx
-https://en.wikipedia.org/wiki/Plaza_Accord
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=TH
-https://en.wikipedia.org/wiki/1997_Asian_financial_crisis
-http://www.ops3.moc.go.th/infor/MenuComTH/trade_sum/report.asp
-https://data.worldbank.org/indicator/ST.INT.ARVL?locations=TH
-https://www.bot.or.th/Thai/Statistics/Graph/Chart_Pack/Chart%20Pack.pdf
-https://tradingeconomics.com/thailand/households-debt-to-gdp
-https://www.statista.com/statistics/331867/average-age-of-the-population-in-thailand/
eastern seaboard thailand 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ผู้สนับสนุน..
HREIT โอกาสการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ บนจุดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย
หลายคนอาจจะคิดว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
ถือเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
แต่หากว่าเราเปลี่ยนจากมุมของการเป็นเจ้าของทั้งหมด กลายมาเป็นการลงทุนผ่านการถือหน่วยลงทุน ก็อาจจะทำให้เราเข้าถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็คือทำเลว่ามีศักยภาพในการเติบโตมากแค่ไหน
วันนี้ เรามารู้จักกับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช หรือ HREIT ที่โฟกัสการลงทุนในโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
โดยเร็วๆ นี้ HREIT กำลังจะเพิ่มทุนเป็นครั้งที่ 2 เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สิน
แล้วรายละเอียดการลงทุนของ HREIT มีอะไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
HREIT เป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงาน และคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า
HREIT ให้บริการพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปสำหรับทั้งผู้ประกอบการไทย และต่างชาติ โดยมีพื้นที่เช่าส่วนใหญ่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำที่พัฒนาโดย WHA Group บริเวณ EEC ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมสำหรับประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐและยังมีพื้นที่เช่าบางส่วนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์การขนส่งไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยทำเลที่มีศักยภาพนี้ส่งผลดีกับอัตราการเช่า และอัตราค่าเช่าของกองทรัสต์ที่จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
แล้วตอนนี้ ฐานลูกค้าของ HREIT คือใคร?
ผู้เช่าของ HREIT หากเราแยกตามสัญชาติ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2563 จะแบ่งออกเป็น
จีน 25.7%
ญี่ปุ่น 22.0%
เยอรมัน 13.1%
ออสเตรเลีย 11.5%
อเมริกา 6.6%
อื่นๆ 21.2% (ไทย อังกฤษ เกาหลี เป็นต้น)
หรือหากเราแยกตามประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรม จะได้เป็น
อุปโภคบริโภค 27.2%
ยานยนต์ 27.1%
โลจิสติกส์ 18.9%
อิเล็กทรอนิกส์ 12.1%
บรรจุภัณฑ์ 4.8%
อื่นๆ 10.1%
จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้เช่าของ HREIT มาจากหลายประเทศ และจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้เช่าจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือกลุ่มอุตสาหกรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งยังมี
บริษัทชั้นนำที่เช่าพื้นที่ของ HREIT อาทิเช่น Nikon และ DHL Supply Chain
ทีนี้เรามาดูภาพรวมพื้นที่เช่าของ HREIT ก่อนและหลังการลงทุนเพิ่มเติม
ก่อนการเพิ่มทุน
กองทรัสต์ HREIT มีพื้นที่เช่าอาคาร 332,505 ตารางเมตร
หลังจากการเพิ่มทุนในรอบที่ 2 นี้
กองทรัสต์ HREIT จะมีพื้นที่เช่าอาคาร 380,632 ตารางเมตร
คิดเป็นพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้นราว 14%
โดยพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้นมานี้จะมาจากทรัพย์สินที่ HREIT
เข้าไปลงทุนเพิ่มเติม แบ่งตามพื้นที่เศรษฐกิจได้เป็น
พื้นที่ EEC ที่จังหวัดชลบุรี และระยอง
โครงการ WHA Chonburi Industrial Estate 1
โรงงาน 5 ยูนิต มีผู้เช่าคือ In-season Food ,Kyowa, Boncafe, Jungheinrich, Thai WP
โครงการ WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 1
โรงงาน 6 ยูนิต มีผู้เช่าคือ Ground Effect, Daya Kitchen Appliance, EUP Elec-tric vehicle, BNL (Thailand), Hi-tech Mould and plastics
โครงการ WHA Logistics Park 4
คลังสินค้า 1 ยูนิต มีผู้เช่าคือ Misumi (Thailand)
โครงการ WHA Logistics Park 2 คลังสินค้า 1 ยูนิต
ในขณะที่จังหวัดสระบุรี จะเป็นโครงการ WHA Saraburi Industrial Land
โรงงาน 2 ยูนิต ซึ่งมีผู้เช่าก็คือ Nittsu Shoji (Thailand)
โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2563 HREIT มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 93.9%
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็ถือเป็นอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูง เมื่อเทียบกับกองทรัสต์ที่ลงทุนในทรัพย์สินประเภทเดียวกัน
ทั้งนี้ กองทรัสต์มีนโยบายการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของรอบปีบัญชี
โดยหลังจากการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้ HREIT คาดว่าจะสามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนได้เป็นจำนวน 0.69 บาทต่อหน่วยการลงทุน อ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์การสมมติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งสอบทานโดยผู้สอบบัญชี
ถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเห็นได้ว่า HREIT เป็นโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องทำเลศักยภาพที่มีอัตราการเช่าสูง รวมถึงฐานลูกค้าที่มีความหลากหลายอุตสาหกรรมจากหลากหลายประเทศ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างดีอีกด้วย
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานของบริษัทในอดีตอาจไม่ได้บ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต
eastern seaboard thailand 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปภาพรวม เศรษฐกิจ ภาคตะวันออก /โดย ลงทุนแม
“จังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงสุดของประเทศไทย”
“ภาคที่มีนิคมอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศไทย”
“ฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี ล้วนตั้งอยู่ที่นี่”
ทั้งหมดที่ว่ามา คือสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออก
แล้ววันนี้ ภาคตะวันออก มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ภาคตะวันออกของไทย มีจำนวนประชากรประมาณ 5.9 ล้านคน
หรือประมาณ 8% ของจำนวนประชากรไทย
ซึ่งไม่รวมประชากรแฝงที่มาทำงานในพื้นที่นี้
แต่รู้ไหมว่า ภาคตะวันออกมีพื้นที่เพียง 34,380 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 6% ของพื้นที่ประเทศไทย
ภาคตะวันออก จึงเป็นภูมิภาคที่มีเนื้อที่เล็กที่สุดในบรรดา 6 ภูมิภาค ของประเทศไทย
แม้จะเป็นภูมิภาคที่มีเนื้อที่เล็กที่สุดในประเทศไทย แต่ภาคตะวันออก กลับเป็นภูมิภาคที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ในอดีต ภาคเกษตรกรรมเคยมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของภาคตะวันออก เนื่องจากคนในพื้นที่ นิยมทำไร่ ทำนา ปลูกพืชสวนพืชไร่ และทำประมง
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคตะวันออกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529)
ภายใต้แผนดังกล่าว มีโครงการพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Seaboard เกิดขึ้น
โดยเป้าหมายของโครงการดังกล่าวคือ การเปลี่ยนอุตสาหกรรมเบามาเป็นอุตสาหกรรมหนัก และอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในระยะยาว
และโครงการนี้เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ที่ทำให้ภาคตะวันออก สามารถดึงดูดให้โรงงานหลายแห่งเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ซึ่งตามมาด้วยการไหลเข้ามาของแรงงาน ทั้งจากภูมิภาคอื่น และต่างประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
คือเศรษฐกิจในหลายจังหวัดในภาคตะวันออก เติบโตต่อเนื่องอย่างยาวนาน
ในช่วงปี พ.ศ. 2554-2561 เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.0% ซึ่งมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 4.5%
ในปี 2561 ภาคตะวันออก มีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 18% ของมูลค่า GDP ประเทศไทย
ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยทั้งประเทศอยู่ที่ 236,815 บาท แต่ภาคที่ตะวันออก มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงถึง 508,568 บาท
และตัวเลขดังกล่าวยังมากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัว ของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เท่ากับ 457,399 บาท เสียอีก
และถ้าลองมาดูจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงสุดในปี พ.ศ. 2561
1. ระยอง รายได้ต่อหัวเท่ากับ 1,067,449 บาท
2. กรุงเทพฯ รายได้ต่อหัวเท่ากับ 604,421 บาท
3. ชลบุรี รายได้ต่อหัวเท่ากับ 566,801 บาท
4. ปราจีนบุรี รายได้ต่อหัวเท่ากับ 513,789 บาท
5. ฉะเชิงเทรา รายได้ต่อหัวเท่ากับ 469,539 บาท
จะเห็นว่า ในบรรดา 5 จังหวัด ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงสุด เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกถึง 4 จังหวัด
โดยปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรม คือภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของของภาคตะวันออกเป็นอย่างมาก
ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคตะวันออก คือ อุตสาหกรรมการผลิต ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของ GDP ภาคตะวันออก
อุตสาหกรรมการผลิตที่ว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, สินค้าอุปโภคและบริโภค, เคมีภัณฑ์
และด้วยภาคตะวันออก เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง
จึงทำให้ภูมิภาคแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “เมืองแห่งนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย”
โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจำนวนนิคมอุตสาหกรรม 59 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ใน 18 จังหวัด
ที่น่าสนใจคือ ในจำนวน 59 แห่ง เป็นนิคมอุตสาหกรรม ที่อยู่ในภาคตะวันออกถึง 42 แห่ง
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ภาคตะวันออก มีท่าเรือเชิงพาณิชย์หลายแห่ง เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และที่ตั้งของภูมิภาค ยังมีระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีเส้นทางการขนส่งที่สะดวกทั้งทางถนนและทางอากาศ
สำหรับอีกหนึ่งจุดเด่นของภาคตะวันออก คือ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ภาคตะวันออก มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง
เช่น หาดพัทยา, เกาะช้าง, เกาะล้าน
ปี พ.ศ. 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางไปท่องเที่ยวประมาณ 38 ล้านคน
และมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 361,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่าตัวเลขเหล่านี้สวยหรู
ความจริงก็อาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว
เพราะตัวเลขที่กล่าวมา
ทั้งรายได้ต่อหัว และ นักท่องเที่ยวจะกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่จังหวัด
โดยเฉพาะจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว อย่างเช่น ชลบุรีและระยอง
ซึ่งก็อาจเกิดคำถามตามมาก็คือ รายได้นั้นตกไปอยู่ที่บริษัท โรงงาน โรงแรม ขนาดใหญ่เท่านั้นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บริษัท โรงงาน โรงแรม เหล่านี้ก็มีส่วนช่วยในการจ้างงานให้กับคนในพื้นที่ได้ไม่น้อย
แต่โจทย์ที่สำคัญก็คือ เราจะสามารถทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศ มั่งคั่งแบบภาคตะวันออกได้อย่างไร..
╔═══════════╗
พบกับ หนังสือ ลงทุนแมน 13.0 ที่อัดแน่นไปด้วยกรณีศึกษาและมุมมองธุรกิจที่น่าสนใจ
พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Eastern_Thailand
-https://www.citypopulation.de/en/thailand/prov/admin/
-https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=5628&filename=gross_regional
-https://www.mots.go.th/more_news_new.php?cid=525
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD?locations=TH
-https://www.nesdc.go.th/ewt_news.php?nid=9289&filename=index
-https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=6294&filename=esdps