สรุปภาพรวม อุตสาหกรรม “กองทุนรวม” ในประเทศไทย /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า กองทุนรวมกองแรกในประเทศไทย
เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อ 44 ปีที่แล้ว
และตลอดเวลาที่ผ่านมา อุตสาหกรรมกองทุนรวม
มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จนวันนี้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศไทย
คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP ประเทศไทยแล้ว
แล้วอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทย เติบโตแค่ไหน ในช่วงที่ผ่านมา ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
อ้างอิงจากเว็บไซต์ของ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)
กองทุนรวมกองแรกของไทย คือ “กองทุนสินภิญโญ” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2520
ที่มีผู้ดูแลกองทุนคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี
ด้วยขนาดกองทุน 100 ล้านบาท และมีอายุโครงการ 10 ปี
หลังจากนั้นมา กองทุนรวม ก็ค่อย ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ในฐานะทางเลือกในการลงทุน ของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ในไทย
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในประเทศไทย เกิดขึ้นในปี 2544
เมื่อรัฐบาลในสมัยนั้น มีมติให้จัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
หรือ Retirement Mutual Fund (RMF)
โดยมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อ ส่งเสริมให้คนไทยให้ความสำคัญกับการออมระยะยาว โดยสร้างแรงจูงใจให้คนอยากลงทุนใน RMF ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน
หลังจากกองทุน RMF ก่อตั้งมาได้ 3 ปี
ในปี 2547 กองทุนรวมหุ้นระยะยาว
หรือ Long-Term Equity Fund (LTF) ก็ถูกจัดตั้งตามมา
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศ ส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้น พร้อมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่คนที่ซื้อกองทุน LTF
แต่ปัจจุบัน ทางรัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนในกองทุน LTF แล้ว แม้ว่า เรายังสามารถลงทุนในกองทุน LTF ได้ก็ตาม
โดยที่มีการจัดตั้งกองทุน Super Saving Fund หรือ SSF ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ที่มีความยืดหยุ่นในการไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศของกองทุนมากขึ้น
และผู้ซื้อก็ยังได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วย
ต้องบอกว่า กองทุนประหยัดภาษีทั้งกองทุน RMF และ LTF นับเป็นจุดเปลี่ยนและเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้คนไทยหันมาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น
ถ้าลองมาดูมูลค่าสินทรัพย์ของทั้ง 2 กองทุน ตั้งแต่ปี 2547-2562
- มูลค่าสินทรัพย์ของ RMF เพิ่มขึ้นถึง 24 เท่า จากประมาณ 12,238 ล้านบาท มาอยู่ที่ 304,306 ล้านบาท
- มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน LTF ก็เติบโตระเบิด โดยเพิ่มขึ้นถึง 72 เท่าจากประมาณ 5,634 ล้านบาท มาอยู่ที่ 406,416 ล้านบาท
ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมทั้งหมดในไทย ตั้งแต่ปี 2547-2562
ก็เพิ่มขึ้นจาก 681,356 ล้านบาท มาเป็น 5,389,707 ล้านบาท
หรือเติบโตเกือบ 8 เท่า ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา
ในปัจจุบัน มีจำนวนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
ที่ได้รับใบอนุญาต การจัดการกองทุนรวมในประเทศไทย ทั้งสิ้น 26 บริษัท
และมีจำนวนกองทุนรวมให้เลือกลงทุนได้มากกว่า 2,051 กองทุน
ซึ่งถ้าหากย้อนกลับไปในปี 2544 หรือปีแรกที่มีการจัดตั้ง RMF
ในตอนนั้น ยังมีจำนวนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทยอยู่เพียง 14 บริษัท
และมีจำนวนกองทุนในตลาดให้ลงทุนได้เพียง 285 กองทุนเท่านั้น
อีกคำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้ววันนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไหนในประเทศไทย ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวม มากที่สุด 3 อันดับแรก ?
เรื่องนี้ ลงทุนแมนก็ไปค้นมาและพบว่า สิ้นปี 2563 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมมากสุด 3 อันดับแรกก็คือ
1. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวม 1,111,625 ล้านบาท
2. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวม 941,830 ล้านบาท
3. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวม 725,703 ล้านบาท
ซึ่งทั้ง 3 บลจ. นี้ มีสัดส่วนมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน
รวมกันแล้ว คิดเป็นประมาณ 52% ของมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมทั้งหมดในไทย
โดยทั้ง 3 รายนั้น เป็นบริษัทจัดการกองทุนรวม
ที่อยู่ในเครือ 3 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของประเทศไทย
คือ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ
แล้วผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เป็นอย่างไร ?
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย
ปี 2561 รายได้รวม 8,276 ล้านบาท กำไร 2,810 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 8,269 ล้านบาท กำไร 2,843 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์
ปี 2561 รายได้รวม 6,394 ล้านบาท กำไร 1,377 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 6,355 ล้านบาท กำไร 1,492 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง
ปี 2561 รายได้รวม 4,804 ล้านบาท กำไร 1,529 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 4,855 ล้านบาท กำไร 1,598 ล้านบาท
เมื่อดูตัวเลขแล้วก็อาจบอกได้ว่า
ธุรกิจจัดการกองทุนรวม ก็น่าจะมีรายได้ที่แน่นอนในระดับหนึ่ง
ที่เป็นแบบนี้ ก็เนื่องมาจาก รายได้หลักของบริษัทจัดการกองทุนมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการบริหารจัดการ
ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ว่านี้ จะได้รับจากลูกค้าแน่นอน ไม่ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร แต่ก็อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามผลการดำเนินงานของแต่ละกองทุนในปีนั้น ๆ
และในอนาคต เมื่อคนไทยมีความรู้ทางการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินอีกมหาศาล
ที่จะไหลเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากขึ้นอีก..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ปัจจุบัน บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ BlackRock Funds
ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการอยู่ประมาณ 261 ล้านล้านบาท
ซึ่งมูลค่านี้ใหญ่กว่ามูลค่า GDP ประเทศญี่ปุ่น เกือบเท่าตัว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.set.or.th/yfs/main/download/YFS2017_YFSCamp_FinPL_Reading02.pdf
-http://oldweb.aimc.or.th/home.php
-https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1
-https://mutualfunddirectory.org/latest-directory-ranking-here/
กองทุน ssf rmf คือ 在 ติดโปร - PRO addict Facebook 的最佳貼文
🎉 เทียบชัดๆ กองทุนลดหย่อนภาษี SSF และ RMF แตกต่างกันอย่างไร ตัวไหนเหมาะกับเรา
💰 พูดถึงเรื่องการลงทุน หลายคนกำลังศึกษา หลายคนกำลังเล่นอยู่ ต่างคนต่างวัตถุประสงค์ในการลงทุนกันไป และเหตุผลอันดับ 1 ในใจใครหลายคนคือเพื่อนลดหย่อนภาษี วันนี้เราจะพามาดู SSF หรือ กองทุนรวมเพื่อการออม และ RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ทั้งสองตัวนี้คือกองทุนที่ช่วยลดหย่อนภาษี ทำให้กลายเป็นตัวลงทุนที่ฮอตฮิตมาก ๆ แต่ทั้งสองตัวแตกต่างกันอย่างไร ตัวไหนเหมาะกับใคร มาติดตามในโพสต์เลย
.
🪙 SSF (Super Saving Fund) - กองทุนรวมเพื่อการออม
ให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เพื่อทดแทนกองทุนLTF ที่สิ้นสุดลงในปี 2562 มีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุน ดังนี้
- ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่จำกัดแค่หุ้นไทย
- ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็ม นับจากวันที่ลงทุน ซึ่งถือว่ายาวกว่า LTF
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ
- ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี คือ ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น
- หักลดหย่อนได้ในปี 2563–2567 โดยลงทุนสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (เมื่อรวม RMF + SSF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กบข. + กอช. + ประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
🙆 เหมาะกับใคร
เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี และผู้เริ่มต้นวัยทำงานเพื่อเป็นแรงจูงใจในการออมเงินระยะยาว
.
🪙 RMF (Retiremant Mutual Fund) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
กองทุนรวมประเภททส่งเสริมให้เกิดการออมเงินระยะยาวเพื่อใช้ยามเกษียณอายุ มีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุน ดังนี้
- ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท
- ถือครองอย่างต่ำ 5 ปี และจนมีอายุครบ 55 ปี
- ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ
- ลงทุนต่อเนื่องทุกปี (อย่างน้อยปีเว้นปี)
- สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ในปีที่มีการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% แต่เมื่อรวม SSF + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กบข. + กอช. ไม่เกิน 500,000 บาท)
🙆 เหมาะกับใคร
เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ
ขอบคุณข้อมูลจาก >> https://bit.ly/3spJ60g
https://bit.ly/3nK3tSd
.
***************************************
ติดตามโปรช่องทางอื่น ไม่ให้ตกโปร
กลับไปดูโปรเก่าๆ ทุกโปร : http://www.tidpro.net
Twitter : http://www.twitter.com/tidpromo
Instagram : https://www.instagram.com/tidpromo
#TIDPRO #ติดโปร #กองทุน #SSF #RMF
กองทุน ssf rmf คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
TMB I Thanachart x ลงทุนแมน
สถานการณ์ตลาดแบบนี้ ลงทุนลดหย่อนภาษีอย่างไรให้อุ่นใจ
ใกล้สิ้นปีแล้ว หลายคนคงกำลังหากองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีอยู่
แต่ด้วยสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนมาตลอดทั้งปี
เราก็คงเกิดความกังวล ว่าจะเลือกกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรดี
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า
ในปีนี้เราสามารถซื้อกองทุนอะไรเพื่อลดหย่อนภาษีได้บ้าง
และกองทุนแต่ละประเภท นำไปลดหย่อนภาษีได้เท่าไร
เริ่มจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ซึ่งเราน่าจะคุ้นเคยกันดี
สามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุน มาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 500,000 บาท
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นกองเดิมเหมือนกันทุกปี
และต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปี รวมถึงไม่ขายจนกว่าผู้ถือจะอายุครบ 55 ปี
RMF จึงเหมาะกับคนที่อยากวางแผนการเงินเพื่อไว้ใช้ในยามเกษียณ
นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกวินัยไปในตัว เพื่อมีเงื่อนไขกำหนดให้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นอกจาก RMF แล้ว ปีนี้ยังมีกองทุนน้องใหม่ ที่ใช้ลดหย่อนภาษีแทน LTF
ซึ่งก็คือ กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF
โดยเราสามารถนำเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาท
ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองจนครบ 10 ปี จึงจะเข้าเงื่อนไข
ซึ่งเมื่อรวมจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ซื้อ RMF และ SSF
รวมกับ กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน + กองทุนการออมแห่งชาติ + ประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
พอรู้อย่างนี้แล้ว ปัญหาที่ตามมาก็คือ เราจะเลือกลงทุนกับ RMF หรือ SSF กองไหนดี?
เรื่องนี้ทีเอ็มบีและธนชาต เข้าใจว่าความต้องการของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
จึงมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ มาเพื่อตอบโจทย์คนแต่ละสไตล์
โดยเราสามารถแบ่งกองทุนออกได้เป็น 4 กลุ่มหลักๆ ตามความสนใจ
1. กลุ่มที่ต้องการลงทุนในประเทศที่มีอัตราการเติบโตด้านเศรษฐกิจสูง อย่างประเทศจีน
กองทุน SSF ที่น่าสนใจ คือ T-ES-CHINAA-SSF
กองทุน RMF ที่น่าสนใจ คือ T-ES-CHINAA-RMF และ TMBCORMF
กองทุนแรก “กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง China A” หรือ “T-ES-CHINAA”
ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบที่เป็น SSF และ RMF ให้เลือก
เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุน UBS (Lux) IS - China A Opportunity
ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นจีนกลุ่ม New Economy ที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ (A Share)
เช่น Ping An Insurance หรือ Moutai บริษัทเหล้าระดับพรีเมียมของจีนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน
และที่สำคัญผู้จัดการกองทุน ก็ได้รับรางวัล Rating AAA จาก Citywire เป็นระยะเวลาถึง 35 เดือน
กองถัดไป “กองทุนเปิดทหารไทย China Opportunity เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “TMBCORMF”
ซึ่งลงทุนกับกองทุน UBS (Lux) Equity Fund–China Opportunity
เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีรายได้เติบโตสูงจากในประเทศจีน
แต่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ช่วยให้สามารถลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มักเลือกเข้าตลาดหลักของโลก
เช่น Alibaba เลือกจดทะเบียนในสหรัฐฯ และฮ่องกง เป็นต้น
2. กลุ่มที่ต้องการลงทุนแบบกระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
กองทุน SSF ที่น่าสนใจ คือ T-ES-GCG-SSF และ UGQG-SSF
กองทุน RMF ที่น่าสนใจ คือ TMBGQGRMF และ TMBGINCOMERMF
กองทุนแรกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนทั่วโลก คือ “กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง Global Capital Growth เพื่อการออม” หรือ “T-ES-GCG-SSF”
ซึ่งไปลงทุนในกองทุน Amundi Fund Polen Capital Global Growth
กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการที่โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคสังคมออนไลน์
มีการเติบโตดีและมีความสามารถในการแข่งขันสูง
แต่ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
นอกจากนั้นก็มี “กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ควอลิตี้ โกรท ฟันด์” หรือ “UGQG-SSF”
และ “กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “TMBGQGRMF”
ซึ่งมีนโยบายไปลงทุนใน Wellington Global Quality Growth Fund
โดยกองทุนหลักนี้ จะไปลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจดี
มีโอกาสในการเติบโตที่ดีในระยะ 5 - 7 ปี ข้างหน้า
กระจายไปยังอุตสาหกรรม ทั้ง IT, การอุปโภคบริโภค และการสื่อสารที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ยังต้องการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก
แต่ไม่อยากรับความผันผวนมาก รวมถึงต้องการการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
และกองที่น่าสนใจกองสุดท้ายในกลุ่มนี้ คือ “กองทุนเปิดทีเอ็มบี Global Income เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ “TMBGINCOMERMF”
ก็ถือว่าตอบโจทย์
เพราะเป็นกองทุนที่ลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund
ซึ่งกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก
3. กลุ่มที่ต้องการลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต
เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีในพอร์ตระยะยาว เพราะถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลก
กองทุน SSF ที่น่าสนใจ คือ T-ES-GTECH-SSF
“กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง Global Technology เพื่อการออม” หรือ “T-ES-GTECH-SSF”
ถือเป็นกองทุนที่น่าสนใจในหมวดนี้
เพราะมีการไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่โตระเบิด
อย่าง Apple, Facebook และ Google
รวมถึงมีนโยบายลงทุนใน 8 ธีมเทคโนโลยี
ที่มีแนวโน้มในการเติบโตและสามารถสร้างผลตอบแทนสูงในอนาคต
เช่น Mobility 5G, Payment Fintech หรือ Cloud Infrastructure
และมาถึงกลุ่มสุดท้ายที่ต้องการลงทุนแบบเกาะกระแสเมกะเทรนด์อย่างกลุ่ม เทคโนโลยีการแพทย์
เนื่องจากแนวโน้มของจำนวนสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กองทุน SSF ที่น่าสนใจ คือ UGH-SSF
“กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล เฮลท์แคร์ ฟันด์” หรือ “UGH-SSF”
กองทุนนี้จะไปลงทุนกับกองทุนที่เน้นไปที่หุ้นของบริษัท Healthcare ทั่วโลก
โดยคัดเลือกบริษัทที่มีนวัตกรรม และมีความสามารถเติบโตในระยะยาว
เช่น กลุ่มการให้บริการทางการแพทย์ กลุ่มการคิดค้นและผลิตยา กลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์อื่น
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นคนสไตล์ไหน หรือมีความต้องการลงทุนแบบไหน
ก็สามารถเลือกลดหย่อนภาษีได้ตรงใจ
เพียงแค่ลงทุนกับทีเอ็มบีและธนชาต
ถ้าใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.tmbbank.com/tax20/ltm หรือเข้าไปลงทุนได้ผ่านช่องทางดังนี้
- แอป TOUCH
- ทีเอ็มบีและธนชาต ทุกสาขา
หรือติดต่อ TMB Investment Line โทร. 1558 กด #9 (ในเวลาทำการธนาคาร)
แถมยังมีโปรโมชันดีๆ ตั้งแต่วันนี้ - 30 ธ.ค. 63 อีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม www.tmbbank.com/promotion/tax2020
หมายเหตุ:
-ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน รวมทั้งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ก่อนตัดสินใจลงทุน
-การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงของการลงทุน
-สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ ทีเอ็มบีและธนชาต ทุกสาขา